จับตาธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับลดงบดุล หรือ FED Balance Sheet ฉุดสภาพคล่องบางส่วนในตลาดหาย หลังนักลงทุนอาจเทขายสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการอัดฉีด QE โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัล อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อในระดับสูงจะยังไม่ลดลงเร็ว จึงมีโอกาสเป็นปัจจัยหนุนในทางบวกให้สินทรัพย์เสี่ยง แนะนักลงทุนหาโอกาสลงทุนในจังหวะราคาปรับฐาน
นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า กรณีการประชุมธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา หรือ FED ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีกรรมการ FED บางรายเสนอให้เร่งปรับลดขนาดงบดุลบัญชีของ FED หรือ Balance Sheet ในทันทีหลังจากที่มีการเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นับเป็นประเด็นใหม่ที่ยังไม่เคยพูดถึงมาก่อน จากผลการประชุม FED ในครั้งก่อนหน้านั้น ที่ระบุเพียงว่าจะมีการยุติการทำ QE ในเดือนมีนาคม 2022 และจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสามครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ หากมีการปรับลด Balance Sheet ด้วย อาจทำให้สภาพคล่องในตลาดการเงินหายไปบางส่วน และจากแรงกดดันค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น อาจเกิดการเทขายสินทรัพย์บางประเภท โดยเฉพาะสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการอัดฉีด QE
สาเหตุที่ตลาดหุ้น ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล ถูกเทขายในช่วงต้นปีนี้ เกิดจากรายงานการประชุมของ FED และนักลงทุนบางส่วนตัดสินใจขายสินทรัพย์ออกมาเพื่อลดความเสี่ยง โดยสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงถูกเทขายมากที่สุด คือ หุ้นเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับประโยชน์จากการอัดฉีดสภาพคล่องในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มากที่สุด
อย่างไรก็ตาม รายงานการประชุมดังกล่าวยังเป็นเพียงแค่ความคิดเห็นของกรรมการ FED บางรายเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเป็นมติของกรรมการทั้งหมด จึงต้องติดตามการประชุมในครั้งต่อไปว่าจะมีความคืบหน้าในประเด็นดังกล่าวอย่างไร โดยในระยะสั้นตลาดหุ้น NASDAQ และราคา Bitcoin ได้ร่วงลงตอบรับกับข่าวดังกล่าวมาแล้วพอสมควร คาดว่าราคาจะเริ่มนิ่งมากขึ้นจนกว่าจะมีความคืบหน้าอย่างเป็นทางการ
“มีข้อสังเกตในรายงานของ FED ระบุไว้ว่าการปรับลดงบดุลสามารถทำได้ง่ายกว่าตอนที่ทำ QE ในรอบแรก เนื่องจากในรอบนี้ FED มีการเสนอขายพันธบัตรรัฐบาลระยะสั้นเป็นหลัก เพียงแค่ไม่ต่ออายุพันธบัตรออกไปก็เท่ากับเป็นการลดงบดุลไปในตัวได้แล้ว ทำให้ประเด็นเรื่องการปรับลดงบดุลของ FED กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงใหม่ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้ อย่างไรก็ดีแม้จะมีการเร่งปรับลดงบดุลบัญชี แต่ปริมาณหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้นแตะระดับ 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นปริมาณที่สูงกว่าสมัยที่ทำ QE ในครั้งแรกหลายเท่า และการปรับลดงบดุลในครั้งก่อนหน้านั้นยังไม่เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ จึงมองว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะยังอยู่ในระดับสูงต่อไป และเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีและสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะยาว” นายณพวีร์ กล่าว
ขณะที่มุมมองในเชิงเทคนิค ราคา Bitcoin ในภาพใหญ่ตอนนี้ยังคงเป็นขาขึ้น แต่ภาพระยะสั้นและระยะกลางได้กลายเป็นขาลง โดยมีแนวรับสำคัญอยู่ในโซน 37,500-40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้ายังไม่หลุดระดับนี้ Bitcoin ยังมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ และน่าจะกลับไปสร้างจุดสูงสุดใหม่ได้ในปีนี้ แต่ถ้าหลุดระดับดังกล่าวภาพระยะยาวจะกลายเป็นขาลง และอาจจะเข้าสู่ช่วงของการปรับฐานไปอีกระยะหนึ่งตลอดทั้งปีนี้ ดังนั้น ผู้ที่ถือ Bitcoin อยู่ในเวลานี้และต้องการเพียงแค่เก็งกำไร ยังไม่แนะนำให้เข้าซื้อเพิ่มจนกว่าราคาจะฟื้นตัว
สำหรับ ราคาทองคำยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จึงต้องหวังว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เพื่อที่จะเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาทองคำขยับตัวขึ้น แต่ถ้าเงินเฟ้อลดลงความสำคัญของทองคำจะลดลงด้วยเช่นกัน
ส่วนดัชนี NASDAQ ตอนนี้ลงมาต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันที่ระดับ 15,692 จุด ซึ่งนับตั้งแต่เป็นขาขึ้นในเดือนเมษายนปี 2021 ดัชนี NASDAQ ปรับตัวลดลงมาถึงระดับเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันแล้ว มีการฟื้นตัวขึ้นได้ทุกครั้ง จึงมองเป็นโอกาสเข้าลงทุนในระยะกลางจากการที่แนวโน้มหลักยังเป็นขาขึ้น
“การลงทุนในปีนี้ นับว่าไม่ง่ายเหมือนปีที่แล้วแน่นอน เพราะสภาพคล่องส่วนเกินจะถูกดึงออกไปตลอดทั้งปี สินทรัพย์ที่อาจจะกลับมาฟื้นตัวได้ดี คือ หุ้นคุณค่า หรือ หุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมดั้งเดิม ที่ได้รับประโยชน์หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้รับการคลี่คลายลงได้ในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ทั้งหุ้นเทคโนโลยี ทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัล ยังคงน่าสนใจในการลงทุนระยะยาว หากราคาปรับฐานลงมาในระดับที่น่าสนใจ” นายณพวีร์ กล่าว