ตลาดหลักทรัพย์ฯ แขวนป้าย NP หลักทรัพย์ "เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป" หลัง สำนักงาน ก.ล.ต.แจ้งบุคคลที่มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหาร จำนวน 4 ราย ขณะช่วงบ่าย NMG ร่อนหนังสือแจงกรรมการทั้ง 4 รายได้สิ้นสภาพการเป็นกรรมการ หรือผู้บริหารของบริษัทฯ แล้ว
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยขึ้นเครื่องหมาย NP หุ้นบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ NMG ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าของวันที่ 10 มกราคม 2565 เนื่องจากตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แจ้งบุคคลที่มีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารจำนวน 4 ราย เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 เนื่องจาก ก.ล.ต.ตรวจสอบพบว่า บุคคล 4 ราย ซึ่งขณะเกิดเหตุในช่วงปี 2558 ถึงปี 2560 เป็นกรรมการและผู้บริหารของ บมจ.เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) ได้ร่วมกันตัดสินใจอนุมัติ สั่งการ และดำเนินการให้บันทึกรายได้ค่าโฆษณาที่ไม่มีจริงในงบการเงินของ NMG
เนื่องจาก น.ส.ณัฐวรา แสงวารินทร์ ยังคงดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาด ใน NMG โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ติดต่อประสานงานให้ NMG ชี้แจงการดำเนินการของบริษัทต่อกรณีดังกล่าว แต่ NMG ยังไม่สามารถชี้แจงสารสนเทศมาได้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงขึ้นเครื่องหมาย NP (Notice Pending) หลักทรัพย์ของ NMG ตั้งแต่การซื้อขายรอบเช้าของวันที่ 10 มกราคม 2565 เป็นต้นไป จนกว่าบริษัทจะชี้แจงสารสนเทศสำคัญได้
ขณะที่ NMG แจ้งว่า ตามที่สำนักคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้เผยแพร่ข่าวกล่าวโทษผู้บริหารอดีตกรรมการ และอดีตผู้บริหารของ NMG รวม 4 ราย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการทุจริตตกแต่งบัญชีรายได้ของบริษัทฯ ในช่วงปี 2558 ถึงปี 2560 นั้น
โดยอดีตกรรมการและอดีตผู้บริหาร 3 รายจาก 4 ราย ได้สิ้นสภาพการเป็นกรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทฯ ไปแล้ว และบริษัทฯ ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจาก ก.ล.ต. เกี่ยวกับการถูกกล่าวโทษข้างต้นซึ่งมีผลให้ผู้ถูกกล่าวโทษเข้าข่ายมีลักษณะขาดความน่าไว้วางใจในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของบริษัทฯ
ทั้งนี้ สำหรับ น.ส.ณัฐวรา แสงวารินทร์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้บริหารของบริษัทฯ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายขาย ได้แจ้งต่อบริษัทฯ ว่าพร้อมจะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนต่อไป อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี น.ส.ณัฐวรา จึงขอลาออกจากตำแหน่งดังกล่าว โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 7 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อย รวมทั้งการดำเนินการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ และบริษัทได้ติดตามดูแลเรื่องการทุจริตตกแต่งบัญชีรายได้ของบริษัทฯ อย่างเคร่งครัดและเข้มงวดมาโดยตลอด
