ตลาดหุ้นเอเชียเปิดแดนบวกวันนี้ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดบวกเมื่อคืนนี้ (23 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดทำนิวไฮ เนื่องจากนักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน หลังผลการวิจัยของหลายสถาบันบ่งชี้ว่าความเสี่ยงของไวรัสโอมิครอนมีน้อยกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลตา
ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,836.05 จุด เพิ่มขึ้น 37.68 จุด หรือ +0.13%, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 23,375.99 จุด เพิ่มขึ้น 182.35 จุด หรือ +0.79% และดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,645.39 จุด เพิ่มขึ้น 2.05 จุด หรือ +0.06%
นักลงทุนขานรับปัจจัยบวกจากการเปิดเผยผลการวิจัยของอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน มหาวิทยาลัยเอดินเบอระแห่งสกอตแลนด์ และสถาบันโรคติดต่อแห่งชาติของแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ความเสี่ยงที่ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนจะต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลนั้นมีน้อยกว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์เดลตา นอกจากนี้ ผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโอมิครอนมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรครุนแรงน้อยกว่าผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเดลตา
ทางด้านบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าเปิดเผยผลการวิจัยล่าสุด ระบุว่า วัคซีนเข็มบูสเตอร์ของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน นอกจากนี้ ผลการวิจัยในห้องแล็บยังบ่งชี้ว่า ยาเอวูเชลด์ (Evusheld) ซึ่งเป็นยาแอนติบอดีแบบผสม (Antibody Cocktail) ของแอสตร้าเซนเนก้า สามารถลบล้างฤทธิ์ของไวรัสโอมิครอนได้
ตลาดยังได้ปัจจัยหนุนจากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) อนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค เป็นยารักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวานนี้ ซึ่งนับเป็นยาตัวที่ 2 ที่ได้รับการอนุมัติให้ใช้รักษาผู้ป่วยโควิดในสหรัฐฯ หลังจากที่ FDA เพิ่งอนุมัติยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์เมื่อวันพุธที่ผ่านมา
นอกจากนี้ นักลงทุนยังซึมซับข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยเมื่อคืนนี้ โดยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เพิ่มขึ้น 0.5% ในเดือน พ.ย. เมื่อเทียบรายเดือน หลังเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ต.ค.
ทางด้านกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกไม่มีการเปลี่ยนแปลงในสัปดาห์ที่แล้ว โดยอยู่ที่ระดับ 205,000 รายหลังมีการปรับตัวเลข ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์