นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบและรับทราบมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจปี 2565 (มาตรการของขวัญปีใหม่ 2565) เพื่อเป็นการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีรายละเอียดดังนี้
1.มาตรการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ประชาชน ประกอบด้วย 2 มาตรการ ได้แก่
1.1 มาตรการช้อปดีมีคืน ปี 2565 มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการบริโภคในประเทศ และสนับสนุนผู้ประกอบการที่อยู่ในระบบภาษีและผู้ประกอบกิจการการผลิตสินค้าท้องถิ่น โดยกำหนดให้ผู้มีเงินได้ซึ่งมีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แต่ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล หักลดหย่อนค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการเท่าที่ได้จ่ายเป็นค่าซื้อสินค้าหรือค่าบริการสำหรับการซื้อสินค้าหรือการรับบริการในราชอาณาจักรให้ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม รวมถึงค่าซื้อหนังสือและค่าบริการหนังสือที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และค่าสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ซึ่งเป็นสินค้าที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 30,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 โดยไม่รวมถึงค่าสินค้าและบริการบางชนิด เช่น ค่าสุรา เบียร์ และไวน์ ค่ายาสูบ ค่าน้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ ค่าบริการจัดนำเที่ยว ค่าที่พักในโรงแรม ค่าสาธารณูปโภค ค่าน้ำประปา ค่าไฟฟ้า ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย เป็นต้น ซึ่งเป็นไปตามประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
1.2 มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ส่งเสริมการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างความมั่นคงในทางเศรษฐกิจของประชาชน รวมถึงช่วยรักษาระดับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนจากร้อยละ 2 ลงเหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมการจำนองจากร้อยละ 1 ลงเหลือร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด ทั้งนี้ มาตรการจะมีผลบังคับใช้สำหรับการโอนและจดจำนองตั้งแต่วันถัดจากวันที่เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
2.มาตรการลดภาระผู้ประกอบการและ/หรือประชาชน ประกอบด้วย 3 มาตรการ ได้แก่
2.1 มาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมการอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่ ตามพระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ.2560 มีวัตถุประสงค์เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในช่วงปี 2564 โดยให้สิทธิยกเว้นค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ขายสุรา ยาสูบ ไพ่ ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 เป็นระยะเวลา 1 ปี เฉพาะผู้ได้รับอนุญาตขายรายเดิมซึ่งได้รับผลกระทบที่ประสงค์จะขอใบอนุญาตขายสุรา ยาสูบและไพ่ต่อเนื่องในปีถัดไป ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
2.2 มาตรการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่น มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศรวมถึงสนับสนุนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวโดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจสายการบินให้สามารถฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้เป็นปกติให้เร็วที่สุด โดยลดอัตราภาษีตามปริมาณของน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องบินไอพ่นที่ใช้บินในประเทศเหลือ 0.20 บาทต่อลิตร โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565
2.3 มาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 อย่างต่อเนื่อง โดยขยายระยะเวลาการดำเนินมาตรการทางภาษีอากรและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2563 และเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2563 ออกไปอีก 5 ปี จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2569 โดยยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ รวมทั้งผ่อนปรนการจำหน่ายหนี้สูญจากบัญชีลูกหนี้ของเจ้าหนี้ สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ของสถาบันการเงิน ลูกหนี้ของเจ้าหนี้ที่มิใช่สถาบันการเงิน และลูกหนี้ของเจ้าหนี้อื่นซึ่งได้ดำเนินการเจรจาร่วมกับสถาบันการเงิน ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และลดหย่อนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดินและตามกฎหมายว่าด้วยอาคารชุดเหลืออัตราร้อยละ 0.01 สำหรับการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ดังกล่าว ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 นอกจากนี้ เพิ่มเติมนิยามเจ้าหนี้อื่นให้รวมถึงบริษัทที่มิใช่สถาบันการเงิน เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกหนี้มากยิ่งขึ้น ดังนี้ (1) บริษัทที่ประกอบธุรกิจให้เช่าซื้อที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน (2) บริษัทที่ประกอบธุรกิจให้เช่าแบบลีสซิ่งที่เป็นบริษัทในกลุ่มธุรกิจทางการเงินของสถาบันการเงิน และ (3) บริษัทที่มิใช่สถาบันการเงินอื่นซึ่งเข้าร่วมและดำเนินการตามโครงการช่วยเหลือลูกหนี้ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569
3.มาตรการการเงิน ได้แก่ โครงการของขวัญปีใหม่ปี 2565 ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ โดยสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้สังกัดกระทรวงการคลัง ได้จัดทำของขวัญปีใหม่ปี 2565 เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่อง ลดภาระค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและเสริมสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ การคืนเงินลูกหนี้ธนาคารที่มีประวัติการชำระดี การยกเว้นค่าธรรมเนียมนิติกรรมสัญญาและค่าประเมินหลักประกันส่วนลดค่าบริการและค่างวดสำหรับการค้ำประกันสินเชื่อ เป็นต้น ทั้งนี้ คิดเป็นวงเงินสินเชื่อรวม 25,000 ล้านบาท การคืนเงินและรางวัลพิเศษรวม 1,335 ล้านบาท การลดอัตราดอกเบี้ยรวม 4,700 ล้านบาท ส่วนลดค่าบริการและส่วนลดค่างวดสูงสุด รวม 7.43 ล้านบาท
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 3 ที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 นี้แล้วว่าจะไม่มีการขยายระยะเวลาสิ้นสุดโครงการออกไป จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีสิทธิคงเหลืออยู่เร่งออกมาใช้จ่ายก่อนวันสิ้นสุดโครงการ ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 ในประเทศไทยที่มีทิศทางดีขึ้น จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตรายวันมีแนวโน้มลดลง ประกอบกับอัตราการฉีดวัคซีนของประชาชนในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเพิ่มขึ้น โดยปัจจัยดังกล่าวล้วนช่วยสนับสนุนให้มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจในแต่ละภูมิภาคยังมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับศักยภาพของภูมิภาคต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินมาตรการเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้มีความต่อเนื่อง โดยกระทรวงการคลังอยู่ระหว่างศึกษาและพัฒนาระบบ รวมทั้งปรับปรุงรูปแบบที่เหมาะสมในการดำเนินโครงการคนละครึ่งในระยะต่อไป ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มโครงการใหม่ได้ในช่วงเดือนมีนาคม 2565
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
o มาตรการข้อ 1.1 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.0-2273-9020 ต่อ 3509, 3529, 3536, 3525
o มาตรการข้อ 1.2 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.0-2273-9020 ต่อ 3513, 3548, 3521, 3508
o มาตรการข้อ 2.1 กรมสรรพสามิต โทร.0-2241-5600 ต่อ 521201
o มาตรการข้อ 2.2 กรมสรรพสามิต โทร.0-2241-5600 ต่อ 535501
o มาตรการข้อ 2.3 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง โทร.0-2273-9020 ต่อ 3509, 3513, 3548, 3529
o มาตรการข้อ 3 ธนาคารออมสิน โทร.0-2299-8000 หรือ 1115
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โทร.0-2555-0555
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โทร.0-2645-9000
ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย โทร.0-2265-3000 หรือ 1357
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
โทร.0-2271-3700 หรือสายด่วน Hotline 0-2037-6099
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย โทร.0-2264-3345 หรือ 1302
บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม โทร.0-2890-9999