ขุนคลังลั่นดูแลเศรษฐกิจปี 65 คาดฟื้นตัวโตได้ 4% ยันรัฐบาลจัดมาตรการทางภาษี-ใช้จ่ายประคองการบริโภค เตรียมเม็ดเงินภาครัฐ 1 ล้านล้านบาทเดินหน้าลงทุน ยันผนึกแบงก์ชาติประสานนโยบายการเงิน-การคลัง พร้อมเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจพึ่งพาในประเทศมากขึ้น พุ่งเป้าดูแล "ภาคชนบท-เอสเอ็มอี" ลุยจัดโครงสร้างภาษีหนุนรถยนต์อีวี
วันนี้ (19 ธ ค.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษในงานสัมมนาเศรษฐกิจประจำปี 2564 สมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ ว่า กระทรวงการคลังกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะประสานนโยบายการเงินการคลัง ดูแลเศรษฐกิจปีหน้าให้เติบโตขึ้น โดยปี 2565 อาจจะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ประมาณ 4% ต่อปี ซึ่งหลายสำนักต่างเห็นตรงกัน ถือว่าใช้ได้ในขณะที่การท่องเที่ยวยังไม่ฟื้นดี
โดยหากย้อนมาดูในปี 2564 เศรษฐกิจไทยช่วง 9 เดือนแรก โตได้ 1.3% ต่อปี แม้ว่าไตรมาส 3 จะติดลบ ซึ่งจากการเปิดประเทศเมื่อวันที่ 1 พ.ย. ทำให้มีนักท่องเที่ยวเริ่มเข้ามา
"ปีหน้าไม่ได้คาดหวังว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจะขึ้นไปมากถึง 40 ล้านคน โดยการฟื้นตัวของรายได้ท่องเที่ยวคงค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ หากจะให้ฟื้นตัวเต็มที่น่าจะเป็นในปี 2566 แต่หลักสิบล้านคนขึ้นไปปีหน้าก็น่าจะเห็นได้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ" นายอาคม กล่าว
ด้านการบริโภคที่ผ่านมาได้รับผลกระทบมากทั้งจากนักท่องเที่ยวที่หายไป และคนไทยเองที่กระทบจากที่มีมาตรการล็อกดาวน์ มีการปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งการบริโกคมีสัดส่วน 50% ของ GDP ดังนั้น ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลจึงอัดเม็ดเงินผ่านมาตรการการใช้จ่ายต่างๆ ของภาครัฐ มีการออกกฎหมายกู้เงินไป 2 ฉบับ วงเงินรวม 1.5 ล้านล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการจ่ายเยียวยาให้ประชาชนไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อีกส่วนคือ รัฐบาลช่วยจ่ายครึ่งหนึ่ง ผ่านโครงการคนละครึ่ง มาตรการช้อปดีมีคืน
"รัฐบาลคงจะดูแลกำลังซื้อไม่ให้ตกต่ำลงไป ยังคงใช้ทั้งมาตรการทางด้านภาษี และมาตรการการใช้จ่าย เพื่อพยุงอัตราการบริโภค" นายอาคม กล่าว
ส่วนภาคการส่งออกปีนี้ถือว่าทำได้ดี ทางสภาผู้ส่งออกทางเรือประมาณการว่า จะโตได้ 15% ซึ่งสอดคล้องกับรัฐบาลประเมิน ส่วนปีหน้าคาดว่าจะโตได้ 5-6% ถือว่าใช้ได้ ดังนั้นปีหน้าการส่งออกยังคงช่วยนำรายได้เข้าประเทศได้ดี
นายอาคม กล่าวอีกว่า ภาคที่ได้รับผลกระทบค่อนข้างมากที่ผ่านมา อย่างภาคเกษตรปลายปีนี้มีเม็ดเงินจากรัฐบาลเริ่มออก คือ โครงการประกันรายได้สินค้าเกษตร ซึ่งเฉพาะข้าว ในเดือน ธ.ค.มีเม็ดเงินถึง 1.4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ ยังมียางพาราอีก ทั้งหมดนี้จะไปช่วยทำให้มีการใช้จ่ายในภาคชนบท
"เราเห็นดัชนีต่างๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ด้านการบริโภค มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการบริโภคเพิ่มขึ้น 3 เดือนติดต่อกัน และสูงสุดในรอบ 7 เดือน ถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับเรา ส่วนด้านภาคอุตสาหกรรม ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจปรับตัวดีขึ้นเช่นเดียวกัน" นายอาคม กล่าว
ส่วนด้านการลงทุนในปีงบประมาณ 2565 จะมีเม็ดเงินภาครัฐส่วนนี้ประมาณ 1 ล้านล้านบาท ทั้งงบลงทุนจากงบประมาณแผ่นดินราว 6 แสนล้านบาท จากรายจ่ายลงทุนของรัฐวิสาหกิจประมาณ 3 แสนล้านบาท และ จาก พ.ร.ก.กู้ ที่ยังมีเงินเหลืออยู่อีกส่วนหนึ่ง" นายอาคม กล่าว
รมว.คลัง กล่าวว่า นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในปี 2565 จะต้องเดินหน้าปรับโครงสร้างเศรษฐกิจมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยพึ่งภายนอกค่อนข้างมาก ดังนั้น ต้องกลับมาพึ่งเศรษฐกิจในประเทศให้มากขึ้น โดยด้านหนึ่งส่งเสริมธุรกิจสมัยใหม่ ธุรกิจขนาดใหญ่ แต่อีกด้านต้องให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจในภาคชนบท โดยใช้บทบาทของสถาบันการเงินเฉพาะกิจเข้าไปช่วย ซึ่งรวมถึงการดูแลเอสเอ็มอี และการปรับปรุงกฎระเบียบเพื่อสนับสนุนการสร้างผู้ประกอบการสตาร์ทอัปให้มากขึ้นด้วย
"วันนี้คลังผ่อนคลายระเบียบจัดซื้อจัดจ้างให้เอสเอ็มอีเข้าไปสู่ระบบจัดซื้อจัดจ้างได้ ต่อไปจะทำอย่างไรให้โมเดิร์นเทรดกับเอสเอ็มอีเชื่อมโยงกัน ซึ่งตอนนี้เทรนด์ดิจิทัลมาแล้ว จะพัฒนาเชื่อมตรงนี้ เป็นดิจิทัลซัปพลายเชน ไฟแนนเชียล จะเชื่อมโยงทำให้เอสเอ็มอีได้เงินจากการขายของได้ทันที" รมว.คลังกล่าว
อีกเทรนด์ที่สำคัญ คือ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิอากาศ หรือภาวะโลกร้อน ซึ่งไทยมีข้อตกลงความร่วมมือไปแล้ว และเรื่องแรกๆ ที่จะดำเนินการ คือ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) รัฐบาลมีนโยบายขับเคลื่อนยานยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ซึ่งกระทรวงการคลังจะมีโครงสร้างภาษีไปสนับสนุน ทั้งนี้ เป้าหมายไม่ได้หยุดแค่ปีหน้า แต่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนเครื่องยนต์สันดาปมาเป็นเครื่องยนต์อีวีมากขึ้น นอกจากนี้ บรรดาธุรกิจต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐมากขึ้น
รมว.คลัง กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ยังมีเทรนด์เรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล กับคริปโทตเคอร์เรนซี ที่ปีนี้เริ่มเห็นเทรนด์ธุรกิจเข้ามา ดังนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายเพื่อดูแลประชาชนไม่ให้ถูกหลอกลวง และเพื่อเป็นธุรกิจที่สร้างความมั่นคงให้ภาคการเงิน รวมถึงเป็นทางเลือกให้ภาคธุรกิจต่างๆ ด้วย