xs
xsm
sm
md
lg

'ทีโอเอ' เดินหน้าลงทุนรับ ศก.ฟื้นตัว ทุ่ม 800 ล้านบาท ขยาย Warehouse ในเวียดนาม-รง.เคมีภัณฑ์-ปรับปรุงไลน์การผลิต

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ทีโอเอ" ผู้นำสีทาบ้าน ครองตลาดอันดับ 1 ในประเทศไทย เผยยอดขายรอบ 9 เดือนปี 64 ยังเติบโตสูงถึง 6% แม้โควิดมีผลต่อภาพรวมตลาด เหตุได้รับปัจจัยบวก ยอดขายโปรดักต์ก่อสร้าง ตลาดปรับปรุงบ้านให้น่าอยู่เติบโต โรงแรม ร้านอาหารซ่อมแซมธุรกิจให้พร้อมรับเปิดประเทศ เผยทิศทางปี 65 ปีที่ดีสำหรับธุรกิจสีทาอาคารและวัสดุก่อสร้าง อุตฯ หลายเซกเตอร์ฟื้นตัว พร้อมเติมเต็ม Product Innovation ใหม่ๆ และบริการที่ครอบคลุมทุกกลุ่มลูกค้า คาดภายในเดือนม.ค.65 เริ่มปรับขึ้นราคาขายสินค้ารอบ 2 หลังวัตถุดิบ น้ำมันตลาดโลกขยับขึ้น ทุ่ม 800 ล้านบาท ขยายลงทุนในเวียดนาม ปรับปรุงโรงงานผลิตสำโรง เกาะติดการระบาดของเชื้อ "โอมิครอน"

นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดสีทาอาคารตลอดปี 2564 ว่า เป็นปีที่ปัจจัยการแพร่ระบาดและมาตรการที่เกี่ยวกับโควิด-19 มีผลค่อนข้างมากต่อภาพรวมของตลาด โครงการก่อสร้างที่พักอาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบมีการชะลอการก่อสร้างและเร่งระบายยูนิตที่ค้างสต๊อกในปีนี้ รวมไปถึงกลุ่มธุรกิจ โรงแรม ร้านค้า สถานบันเทิง งานอีเวนต์  ซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ใช้งานสีทาอาคาร ได้รับผลกระทบเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยด้านบวกที่เข้ามาช่วยประคองตลาดไว้คือ ตลาด Renovation ซึ่งเป็นผลมาจากการที่คนต้องอยู่บ้านมากขึ้น ทั้ง Work From Home และ Learn From Home เป็นจังหวะที่ดีที่คนหันมาปรับปรุงบ้านให้น่าอยู่มากขึ้น นอกจากนี้ ในช่วงที่การท่องเที่ยวปิดตัวลงเป็นโอกาสให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยวได้ใช้เวลาในช่วงนี้ ปรับปรุงซ่อมแซมพื้นที่ของธุรกิจให้ดีขึ้น เพื่อรองรับการเปิดตัวของตลาดหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง นี่เป็นส่วนสำคัญที่ยังช่วยประคองตลาดสีทาอาคารไว้ได้ในช่วงปีที่ผ่านมา

"ในส่วนของ TOA เรามีความเข้มแข็งอย่างมาก ทั้งในเรื่องของแบรนด์สินค้าและการกระจายสินค้า ท่ามกลางวิกฤตอาจพูดได้ว่า ในเชิงของยอดขายเราไม่ได้รับผลกระทบมากนัก โดย 3 ไตรมาสแรกยังมีการเติบโตสูงถึง 6% สวนทางกับภาพรวมของตลาด ส่วนหนึ่งได้แรงหนุนจากธุรกิจวัสดุก่อสร้างอื่นๆ ของบริษัทฯ ทั้งเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง ยิปซั่ม กระเบื้อง ที่เข้ามาช่วยเสริมให้ภาพรวมยังคงเติบโตได้" ​
สำหรับภาพตลาดในปี 2565 นายจตุภัทร์ กล่าวว่า ด้วยสถาณการณ์โควิดที่น่าจะบรรเทาเบาบางลง การเปิดประเทศ ภาคการท่องเที่ยว ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจที่จะค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมา จะทำให้ปี 2565 จะเป็นปีที่ดีสำหรับธุรกิจสีทาอาคารและวัสดุก่อสร้าง กำลังซื้อในภาพรวมน่าจะกลับมาหลังจากชะงักงันไปนาน โครงการก่อสร้างต่างๆ ที่ชะลอตัวลงและระบายสต๊อกออกไปได้ในปีที่ผ่านมา จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง

"ทิศทางของ TOA ในปี 65 ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคาของผู้เล่นในตลาด ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปเป็นปัจจัยที่เราเตรียมแผนกลยุทธ์เพื่อรองรับไว้แล้ว ทั้งในเรื่องของ Product Innovation ใหม่ๆ ที่จะเข้ามาตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น Innovation ในด้าน Service ที่จะครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้างใหม่ๆ ที่นำเข้ามาเพิ่มมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่เราเชื่อมั่นว่าปีหน้าจะเป็นปีทองของ TOA คาดว่าจะส่งเสริมให้เติบโตได้ 10 เปอร์เซ็นต์แน่นอน"

ในส่วนของการเตรียมพร้อมรับมือกับต้นทุนที่มีแนวโน้มปรับขึ้นนั้น นายจตุภัทร์ กล่าวว่า ราคาวัตถุดิบและต้นทุนโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้นตามตลาดโลกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของอเมริกา ยุโรป และจีนในช่วงต้นปี 2564 โดยบริษัทฯ จึงจำเป็นต้องปรับราคาขายสินค้าให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยได้ปรับราคาขายรอบแรกในช่วงปลายไตรมาส 3 ไปประมาณ 4% ซึ่งจะทำให้กำไรขั้นต้นจะกลับฟื้นตัวในไตรมาส 4 เป็นต้นไป

นอกจากนี้ คาดว่าราคาจะวัตถุดิบ ราคาน้ำมัน ยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นต่อจนถึงกลางปี 65 บริษัทฯ จึงได้เริ่มปรับราคาขายสินค้าเป็นรอบที่ 2 โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนมกราคมปี 65 แต่ยังไม่สอดรับกับต้นทุนที่สูงขึ้น ทั้งนี้ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิดสายพันธุ์ใหม่ Omicron อาจส่งผลกระทบต่อความผันผวนราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันของตลาดโลก ซึ่งบริษัทฯ จะได้ติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนที่จะลงทุนในปีหน้า เน้นเรื่องการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และรองรับการขยายงาน โดยใช้งบลงทุนรวม ประกอบด้วย 1.การขยาย Warehouse ที่ Ho chi minh City, Vietnam 2.การสร้างโรงงานผลิตเคมีภัณฑ์ก่อสร้าง เพื่อผลิตปูนกาว และเคมีภัณฑ์ก่อสร้างชนิด powder base แทนการ OEM เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไรจากกลุ่มสินค้านี้ และ 3.การปรับปรุง warehouse ให้เป็นระบบ Automatics และการปรับปรุงโรงงานผลิตที่สำโรง ซึ่งได้ใช้มาเป็นระยะเวลานานแล้ว โดยแต่ละโครงการจะใช้เงินลงทุนประมาณ 100-150 ล้านบาท รวมเงินลงทุนรวมประมาณ 800 ล้านบาท


กำลังโหลดความคิดเห็น