สำนักงาน ก.ล.ต.ปรับเกณฑ์ให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ และให้บริการดูแลและเก็บรักษาตราสารหนี้แก่ผู้ลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตราสารหนี้ไทย เตรียมประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับพร้อมกับ ธปท. ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2565 เป็นต้นไป
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า ก.ล.ต. ออกหลักเกณฑ์สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ที่ให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ และให้บริการดูแลและเก็บรักษาตราสารหนี้แก่ผู้ลงทุนต่างชาติที่ลงทุนในตราสารหนี้ไทยและได้มีการลงทะเบียนแสดงตัวตนกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ตามแผนความร่วมมือระหว่าง ก.ล.ต. และ ธปท. ในโครงการ Bond Investor Registration
ทั้งนี้ ตามที่ ก.ล.ต. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นหลักการและร่างหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ที่ให้บริการซื้อขาย แลกเปลี่ยน หรือจัดจำหน่ายตราสารหนี้ต้องตรวจสอบว่าลูกค้าและผู้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (ultimate beneficiary owner : UBO) ซึ่งเป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศได้มีการลงทะเบียนแสดงตัวตนกับ ธปท. แล้ว และในการให้บริการดูแลและเก็บรักษาตราสารหนี้ (custodian service) ผู้ประกอบธุรกิจดังกล่าวต้องดำเนินการให้ลูกค้าและ UBO เปิดบัญชีหลักทรัพย์แบบแยกรายบัญชี และเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์แบบแยกรายบัญชีที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ตลอดจนลงทะเบียนแสดงตัวตนกับ ธปท. หรือได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว
โดย ก.ล.ต. ได้นำความคิดเห็นจากผู้ที่เกี่ยวข้องหารือกับ ธปท. และปรับปรุงหลักเกณฑ์ให้เหมาะสม สอดคล้องและเป็นไปในแนวทางเดียวกับหลักเกณฑ์ของ ธปท. แล้ว นอกจากนี้ เกณฑ์การให้บริการดูแลและเก็บรักษาตราสารหนี้ที่ออกโดย ก.ล.ต. จะบังคับใช้กับบริษัทหลักทรัพย์เท่านั้น สำหรับธนาคารพาณิชย์ที่ให้บริการดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ ธปท.
ทั้งนี้ ประกาศฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับพร้อมกับ ธปท. ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2565 เป็นต้นไป
ด้านนางอลิศรา มหาสันทนะ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. เปิดเผยความคืบหน้าโครงการลงทะเบียนแสดงตัวตนของผู้ลงทุนตราสารหนี้ในประเทศไทย (Bond Investor Registration: BIR) ที่ ธปท. กับสำนักงาน ก.ล.ต. ดำเนินการร่วมกัน โดยโครงการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันให้เกิดระบบนิเวศตลาดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ (FX ecosystem) ด้านการยกระดับระบบติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยน (FX surveillance and Management) เพื่อให้ ธปท. มีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และรวดเร็ว เพื่อกำหนดนโยบายได้ตรงจุดและทันการณ์
สำหรับโครงการ BIR ระยะที่ 1 ที่ดำเนินการกับผู้ลงทุนที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในต่างประเทศ (non-resident) นั้น ธปท. และ ก.ล.ต. ได้ประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องไปเมื่อวันที่ 12 เม.ย.2564 และวันที่ 2 ธ.ค.2564 ตามลำดับ ซึ่งมีผลให้ผู้ลงทุน non-resident ต้องเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์สำหรับตราสารหนี้แบบแยกรายผู้ได้รับผลประโยชน์ที่แท้จริง (Ultimate beneficiary owner : UBO) และลงทะเบียนแสดงตัวตนกับ ธปท. ซึ่งข้อมูลล่าสุดเดือนพฤศจิกายน 2564 มีผู้ลงทะเบียนแล้วประมาณ 2,600 ราย และตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.2565 เป็นต้นไป การรับมอบหรือส่งมอบตราสารหนี้ของ non-resident ต้องทำผ่านบัญชีฝากหลักทรัพย์แบบแยกราย UBO ที่ได้ลงทะเบียนแสดงตัวตนกับ ธปท. ไว้แล้วเท่านั้น เว้นแต่ได้รับการผ่อนผันจาก ธปท. หรือได้ดำเนินการตามวิธีการที่บริษัท ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ (ประเทศไทย) จำกัด (TSD) กำหนด
นอกจากนี้ ธปท. อยู่ระหว่างจัดทำระบบตรวจสอบข้อมูลเพื่ออำนวยความสะดวกให้ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องสามารถตรวจสอบสถานะการลงทะเบียนแสดงตัวตนกับ ธปท. ของลูกค้าได้ โดยใช้รหัส Legal Entity Identifier (LEI) และเลขที่บัญชีฝากหลักทรัพย์ของลูกค้า โดยจะเปิดให้ใช้ระบบในวันที่ 4 ม.ค.2565
สำหรับโครงการ BIR ระยะที่ 2 จะดำเนินการกับผู้ลงทุนที่เป็นผู้มีถิ่นที่อยู่ในประเทศ (resident) โดย ธปท. จะขอข้อมูลการถือครองและการส่งมอบตราสารหนี้จาก TSD โดยผู้ลงทุน resident ไม่ต้องดำเนินการใดๆ เพิ่มเติม เนื่องจากผู้ลงทุน resident มีลักษณะการเปิดบัญชีฝากหลักทรัพย์ระดับ UBO ที่ TSD อยู่แล้ว ซึ่ง ธปท. อยู่ระหว่างจัดทำประกาศหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2565