HL ไอพีโอป้ายแดงธุรกิจร้านขายยา Chain store บริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย โดยโบรกเกอร์ประเมินช่วงราคาพื้นฐานอยู่ที่ 13-15 บาท คาดการณ์รายได้เติบโตสูงผลจากการขยายสาขาเพิ่มทุกปี ปรับปรุงสาขาเดิม ดึงลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้น เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่ หนุนอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น พร้อมบริหารต้นทุนได้ดี ดันอัตรากำไรสุทธิ ฐานะการเงินแข็งแกร่งมีความมั่นคงสูง
บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า HL จะเป็นเชนร้านขายยาบริษัทแรกที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ซึ่งมีโครงสร้างธรุกิจคล้ายกลุ่มค้าปลีก ปัจจุบันยังมีสาขาไม่มากเพียง 25 สาขา ยังมีช่องว่างให้โตได้อีกมาก ขณะที่อุปสรรคของผู้ประกอบการรายใหม่ค่อนข้างสูง เพราะเป็นธุรกิจที่มีกฎระเบียบเข้มงวดทั้งสถานประกอบการและคุณภาพการเก็บยาต้องมีเภสัชคอยให้คำแนะนำ อีกทั้งยังต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเป็นจุดแข็งของบริษัทที่สามารถปฏิบัติได้อย่างครบถ้วน
ขณะที่สิ่งที่ต่างจากธุรกิจค้าปลีกทั่วไป คือ สินค้า ซึ่งไม่ใช่แค่สินค้าอุปโภคบริโภค แต่เป็นสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และไม่มีการแข่งขันด้านราคาอย่างรุนแรง ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ มีความผันผวนต่ำ ฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิในปี 2564-2566 จะเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 35.8% ซึ่งประเมินราคาเป้าหมาย ปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท (DCF)
"ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 อยู่ที่ 15 บาท อิง DCF (WACC 8.3%, Risk Premium 8.1%, Terminal Growth 3%) สามารถ Implied PE และ PEG ที่ 35 เท่า และ 0.97 เท่า ตามลำดับ ใกล้เคียง PE ของกลุ่มค้าปลีก แต่เป็น PEG ที่ต่ำกว่ากลุ่มค้าปลีกพอควร ซึ่งปัจจุบันเทรดที่ 1.45 เท่า หากไม่รวม CPALL MAKRO ที่กำลังรวม Lotus's พบว่า PEG ค้าปลีกจะอยู่ที่ 1.7 เท่า (เท่ากับค่าเฉลี่ยในอดีต 5 ปีย้อนหลังของกลุ่ม) และยังต่ำกว่า PEG เฉลี่ยของร้านขายยาใน Global Peers ด้วย (China 1.12 เท่า, Japan 2.23 เท่า และ US 1.65 เท่า)"
บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า HL เป็นบริษัทที่น่าสนใจจากการเป็นร้านขายยา Chain Store ที่มีรายได้ต่อสาขาสูงกว่าร้านขายยาที่มีจำนวนสาขาใกล้เคียงกัน สามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีทำให้มีอัตรากำไรสุทธิสูงสุดในกลุ่มร้านยา Chain Store ที่มีรายได้/จำนวนสาขาใกล้เคียงกัน ซึ่งฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคามูลค่าพื้นฐานในปี 2565 อยู่ที่ 14 บาท เนื่องจากคาดว่ากำไรสุทธิในช่วงปี 2564-2566 จะเติบโตระดับเฉลี่ยอยู่ที่ 37%
ปัจจัยสนับสนุนจากการคาดการณ์รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นปีละ 16% ตามความต้องการยาและอาหารเสิรมที่สูงขึ้น และการขยายสาขาที่เร่งตัวขึ้นปีละ 4-5 สาขา ทั้งนี้ คาดว่า GPM ในปี 2564 จะอยู่ที่ระดับ 22.3% ในปี 2565 อยู่ที่ 22.8% และในปี 2566 อยู่ที่ 22.9% จากสัดส่วนรายได้จาก House brand ที่สูงขึ้น และความสามารถในการต่อรองราคาสินค้ากับ supplier ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นจาก economies of scale
บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีมุมมองเชิงบวกต่อศักยภาพในการเติบโตระยะยาวของ HL จากแผนขยายสาขาต่อเนื่อง แม้ว่าไม่ได้เน้นขยายสาขาจำนวนมาก แต่เน้นที่ทำเลมีศักยภาพทำให้มียอดขายต่อสาขาสูง และคุ้มทุนเร็ว รวมทั้งยังมีอัปไซด์ในอนาคต หากมีการเพิ่มโครงสร้างธุรกิจอื่นๆ เช่น การขายแฟรนไชส์ เป็นต้น โดยประเมินว่าบริษัทจะมีการเติบโตของกำไรสุทธิระหว่างปี 2564-2566 อยู่ที่ 39.1% 62.8% และ 26.2% ตามลำดับ คิดเป็นอัตราเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 42%
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมโดยอิง Forward PE 30-33 เท่า ซึ่งเป็นช่วงค่ากลางถึงค่าบนของ Forward PE ของ peer ที่นำมาเปรียบเทียบ (peer ในกลุ่มที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับยาและอาหารเสริมและอุปกรณ์การแพทย์ มี PE เฉลี่ยที่ 28 เท่าและ peer ในกลุ่มค้าปลีกที่ทำธุรกิจในลักษณะ chain store มี PE เฉลี่ยที่ราว 33 เท่า) ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมในกรอบ 13.00-14.30 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า จากฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของ HL ด้วยความสามารถในการเลือกที่ตั้งร้านได้อย่างเหมาะสม ประกอบกับบริษัทมีการคิดค้นและพัฒนาร่วมกับทีมวิจัยภายนอกเพื่อจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมเพื่อสุขภาพ โดยในอนาคตทางบริษัทมีแผนที่จะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายได้มากขึ้น ประเมินมูลค่าพื้นฐานปี 2565 ของ HL ที่ 14.00 บาท โดยอิงวิธี DCF (WACC 12%, terminal growth 1.5%) โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
ฝ่ายวิจัยมองว่าในปี 2564-2565 คาดกำไรเติบโตแบบก้าวกระโดดจากการขยายสาขาเพิ่มขึ้น โดยปี 2564 คาด HL มีกำไรสุทธิ 74 ล้านบาท โต 42.5% จากงวดเดียวกันปีก่อน จากการเปิดสาขาใหม่ 3 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์โรบินสัน ลาดกระบัง ซึ่งได้เปิดทำการแล้วในไตรมาส 3 ในขณะที่อีก 2 สาขา ได้แก่ ฟาร์แมกซ์ กรุงเทพกรีฑา และไอแคร์ มาร์เก็ตเพลส ตลาดถนอมมิตร คาดจะเปิดทำการในไตรมาส 4 ปีนี้
ในปี 2565 ไตรมาสแรกจะมีการเปิดสาขาใหม่เพิ่มอีก 1 สาขา คือ ไอแคร์ โครงการ ธนบุรีมาร์เก็ต โดยบริษัทมีการนำ Data Analytics มาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งช่วยตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น ประกอบกับเป็นการช่วยบริษัทในการบริหารสินค้าคงคลังให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยในการวิเคราะห์สถานที่ในการตั้งสาขาเพื่อช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีช่วงเวลา Payback Period ที่สั้นลง บริษัทยังมีแผนปรับปรุงสาขาร้านขายยาเดิมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น ดังนั้น จึงคาดกำไรสุทธิปี 2565 ที่ 113 ล้านบาท เติบโต 53% จากงวดเดียวกันปีก่อน