หุ้นไทยร่วงกราวรูด -20.92 จุด หรือ -1.30% โบรก ฯ ชี้ตลาดหุ้นทั่วโลกวิตกโควิดกลายพันธุ์ "Omicron" หลัง WHO ฟันธงเป็นเชื้อกลายพันธู์ที่น่ากังวล ส่งผลให้หลายประเทศประกาศปิดประเทศจากผู้โดยสารประเทศต้นทางที่ระบาด ส่วนหุ้นไทยเกิด Panic Sell หลัง SET50 ปรับตัวลงมากเป็นหลัก นักลงทุน Cutloss ตลาดอนุพันธ์ ประเมินภาพรวมสัปดาห์นี้หุ้นแกว่งกรอบ 1,580-1,590 จุด ส่วนพรุ่งนี้หากดัชนีดีดกลับได้อาจเคลื่อนไหวแถว 1,600-1,620 จุด
หุ้นไทยปิดตลาดวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564 ดัชนีปรับตัวลดลงกว่า -20.92 จุด หรือ -1.30% โดยมาอยู่ที่ 1,589.69 จุด มูลค่าการซื้อขายทะลุ 115,806.02 ล้านบาท ขณะที่ภาพรวมการซื้อขายดัชนีแกว่งตัวอยู่ในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 1,617.55 จุด ขณะเดียวกันดัชนีปรับตัวลดลงต่ำสุดที่ 1,587.78 จุด
ขณะที่ส่วนหลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงในวันนี้เพิ่มขึ้นจำนวน 511 หลักทรัพย์ ไม่เปลี่ยนแปลงจำนวน 310 หลักทรัพย์ และลดลงจำนวน 1,538 หลักทรัพย์
ขณะที่ปริมาณการซื้อขายขายจำแนกตามกลุ่มนักลงทุนพบว่า นักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิกว่า 8,809.38 ล้านบาท ในทางกลับกันพบว่า นักลงทุนต่างประเทศ ขายสุทธิกว่า -4,370.36 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิกว่า -3,368.48 ล้านบาท และ บัญชี บล. ขายสุทธิกว่า -1,070.54 ล้านบาท
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 หลักทรัพย์
1.KBANK มูลค่าการซื้อขาย 8,665.46 ล้านบาท ปิดที่ 136.50 บาท ลดลง 6.00 บาท
2.AOT มูลค่าการซื้อขาย 5,895.15 ล้านบาท ปิดที่ 59.75 บาท ลดลง 3.25 บาท
3.SCB มูลค่าการซื้อขาย 3,719.40 ล้านบาท ปิดที่ 123.50 บาท ลดลง 3.50 บาท
4.PTT มูลค่าการซื้อขาย 2,771.91 ล้านบาท ปิดที่ 36.00 บาท ลดลง 1.00 บาท
5.BBL มูลค่าการซื้อขาย 2,674.28 ล้านบาท ปิดที่ 117.00 บาท ลดลง 4.50 บาท
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวบวกเพิ่มขึ้นมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.DELTA ปิดที่ 442.00 บาท เพิ่มขึ้น 24.00 บาทหรือ 5.74%
2.ADVANC ปิดที่ 211.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาทหรือ 2.93%
3.STGT ปิดที่ 32.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาทหรือ 5.69%
4.JMART ปิดที่ 52.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.75 บาทหรือ 3.48%
5.BCH ปิดที่ 21.70 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาทหรือ 3.83%
ด้านดัชนี SET100 ที่มีราคาปรับตัวลดลงมากที่สุด 5 อันดับ ได้แก่
1.KBANK ปิดที่ 136.50 บาท ลดลง 6.00 บาทหรือ 4.21 %
2.BBL ปิดที่ 117.00 บาท ลดลง 4.50 บาทหรือ 3.70 %
3.SCC ปิดที่ 381.00 บาท ลดลง 4.00 บาทหรือ 1.04 %
4.SCB ปิดที่ 123.50 บาท ลดลง 3.50 บาทหรือ 2.76 %
5.AEONTS ปิดที่ 184.00 บาท ลดลง 3.50 บาทหรือ 1.87 %
ส่วนดัชนี SET100 ปิดที่ 2,169.64 จุด ลดลง -30.02 จุด หรือ -1.36% ด้านดัชนี SET50 ปิดที่ 948.28 จุด ลดลง -13.65 จุด หรือ -1.42% และดัชนีตลาด mai ปิดที่ 557.65 จุด ลดลง -7.43 จุด หรือ -1.31%
นายสุโชติ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการฝ่ายวิจัย บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงรับ Sentiment ลบต่อเนื่องจากสัปดาห์ก่อน จากความกังวลไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ”โอไมครอน” ทำให้เห็นว่ามีการ Cutloss ตลาดอนุพันธ์ ซึ่งทำให้หุ้นในกลุ่ม SET50 ปรับตัวลงมากเป็นหลักจาก Panic Sell ปรับพอร์ต โดยเฉพาะหุ้นที่ขึ้นไปมากอย่างหุ้นในกลุ่ม Re-opening
ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบ ขณะที่ตลาดยุโรปเทรดบ่ายนี้รีบาวด์ขึ้นมาแล้ว หากคืนนี้ตลาดสหรัฐ ฯ ปรับตัวขึ้นได้ก็จะทำให้ Sentiment ตลาดเอเชียในวันพรุ่งนี้ฟื้นตัวกลับมาได้ อย่างไรก็ดีจากการที่ไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ”โอไมครอน” ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มมาก แต่หลายฝ่ายระบุว่าไม่ได้รุนแรงมากกว่าตัวเดิม หากเป็นจริงก็จะเป็น Sentiment บวกให้ตลาดฯ
นอกจากนี้ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์หากดัชนีฯยืนได้ก็มีโอกาสรีบาวด์ หลังจากลงมาใกล้เส้น 200 วันแถว 1,580 จุด หรือในช่วง 1,580-1,590 จุด น่าจะเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ได้
แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (30 พ.ย.) นายสุโชติ กล่าวว่า หากดัชนีฯยืนได้แถว 1,690-1,580 จุด ก็มีโอกาสเกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์ได้ ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,600-1,620 จุด
"นักลงทุนควรต้องติดตามสถานการณ์ความคืบหน้าของสายพันธุ์ "โอไมครอน" และการประชุมกลุ่มโอเปกพลัสในวันที่ 2 ธ.ค.นี้ ซึ่งจะมีผลต่อหุ้นในกลุ่มพลังงาน อีกทั้งติดตามภาครัฐฯจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจปลายปีนี้หรือไม่ ตอนนี้พวกเฮจฟันด์ในตลาดฟิวเจอร์สมีมุมมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยไปราว ส.ค.-ก.ย.65 จากเดิมที่มองกันว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางปีหน้า ตอนนี้พอมีโควิดสายพันธุ์ใหม่ก็ทำให้มองว่าอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยเร็วแล้ว” นายสุโชติ กล่าว