นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนา Thailand 2022 UNLOCK VALUE ก้าวสู่เส้นทางใหม่ไร้ขีดจำกัด โดยระบุว่า ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเผชิญภาวะการระบาดของโควิด-19 การดำเนินนโยบายต่าง ๆ แบบไร้ขีดจำกัดจำมีผลข้างเคียง ดังนั้นมองว่าการประสานระหว่างนโยบายด้านการเงินและด้านการคลังเป็นเรื่องสำคัญ โดยนโยบายด้านการคลังมีจุดแข็งในเรื่องให้ผลเร็ว ตรงจุด ขณะที่นโยบายด้านการเงิน ต้องใช้เวลาในการส่งผ่านไปยังระบบ และให้ผลไม่ตรงจุด ซึ่งการใช้จุดแข็งของแต่ละนโยบายมาดำเนินการจะทำให้เกิดประสิทธิภาพเต็มที่ที่สุด
นอกจากนี้ การทำนโยบายต้องมีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติด สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ แต่ต้องทำแล้วเห็นผลได้จริง ส่วนมาตรการทำมาตรการ QE นั้น ต้องยอมรับว่าไม่เหมาะกับบริบทและไม่ตอบโจทย์กับประเทศไทย เนื่องจากมาตรการจะส่งผลดีกับผู้ประกอบการรายใหญ่เป็นหลัก ขณะที่ผู้ประกอบการรายย่อย โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SME ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างหนักจะไม่ได้รับประโยชน์จากการทำ QE
"โจทย์สำคัญของการทำนโยบายเศรษฐกิจ คือ ต้องทำอย่างไรให้การฟื้นตัวไม่สะดุด ตลาดการเงินไม่เกิดปัญหาทั้งในด้านความสามารถการชำระหนี้ และหนี้เสียไม่เพิ่มขึ้น ทุกอย่างต้องสมูทที่สุด ตรงจุด เพื่อช่วยเหลือภาคเศรษฐกิจที่อาจจะฟื้นตัวล่าช้า โดยเฉพาะเศรษฐกิจขาล่าง โดยมองว่าเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญของนโยบายการคลัง ส่วนนโยบายการเงินจะต้องมีการทำงานที่ช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวในส่วนดังกล่าวด้วย โดยต้องยอมรับว่านโยบายการคลังยังเป็นพระเอกในการกอบกู้เศรษฐกิจขาล่าง เพราะแรงและตรงจุด โดยในปี 63 เศรษฐกิจขยายตัวติดลบ 6% แต่หากไม่มีนโยบายการคลัง ไม่มีการกู้เงินมาช่วยจะเห็นเศรษฐกิจติดลบถึง 9% ส่วนปี 64 คาดว่าจะโตได้ 0.7% แต่ถ้าไม่มีนโยบายการคลังจะเห็นเศรษฐกิจติดลบ 4% เช่นเดียวกับปีหน้า โดยเบ็ดเสร็จพบว่าในช่วง 3 ปี (63-65) นโยบายการคลังจะช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจโตเพิ่มได้ 10.8%" ผู้ว่าธปท.ระบุ
ผู้ว่า ธปท. กล่าวอีกว่า สัญญาณเตือนภัยที่น่าจับตามองสำหรับเศรษฐกิจไทย คือ การฟื้นตัวที่คาดว่าจะช้าและไม่เท่าเทียมกัน โดยประเมินว่าจะได้เห็นตัวเลขเศรษฐกิจ (GDP) ไทยกลับมาเติบโตใกล้เคียงระดับก่อนการระบาดได้ในปี 66 แต่ก็ยังเป็นการฟื้นตัวเชิงตัวเลขเท่านั้น ขณะที่ความรู้สึกของคนทั่วไปจะไม่รู้สึกว่าฟื้นตัว โดยเฉพาะในตลาดแรงงาน และรายได้ของคนจะฟื้นตัวช้ากว่าตัวเลขจีดีพี เพราะไทยพึ่งพารายได้จากการท่องเที่ยว ที่แม้ปัจจุบันจะมีการเปิดประเทศแล้ว แต่ก็มองว่ามีความเสี่ยงที่จะไม่เห็นตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ 6 ล้านคนตามที่คาดการณ์ ขณะที่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ก็ยังเป็นความเสี่ยงอยู่ ดังนั้นแม้หลายฝ่ายหวังว่าการเปิดประเทศจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็เป็นการดีแบบไม่ทั่วถึง
"ที่ผ่านมา ธปท. พยายามเน้นการใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างเต็มที่ และทำให้ถึงที่สุด การออกนโยบายจะมีการวางเป้าหมายให้ชัดเจน ต้องรับรู้ขีดจำกัด และคำนึงถึงขีดจำกัดของการใช้นโยบายทั้งภาคการเงินและการคลังที่จะต้องไม่สุดโต่ง เพราะจะมีผลข้างเคียง โดยหลายประเทศที่ทำนโยบายการเงินแบบสุดโต่ง จะเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก ๆ ขณะที่ฝั่งการคลังก็มีการกระตุ้นอย่างเต็มที่ สุดท้ายหนี้สาธารณะก็สูงขึ้น ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะของทั่วโลกสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะที่ต้นทุนการกู้ยืมเงินก็ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การทำนโยบายเศรษฐกิจแบบนี้นานเกิดไปก็จะเกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพ ซึ่งจะทำให้ทุกอย่างในระบบเศรษฐกิจรวนไปหมด ดังนั้นนโยบายการเงินและการคลังจะต้องไปด้วยกัน ขาดฝั่งใดฝั่งหนึ่งไม่ได้" นายเศรษฐพุฒิ กล่าว
สำหรับปัญหาเรื่องแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นกว่าคาดการณ์ จนทำให้หลายฝ่ายเป็นห่วงว่าธนาคารกลางของกลุ่มประเทศหลักจะมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ตลาดการเงินผันผวนนั้น ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่ ธปท. จับตามอง และไม่ชะล่าใจ แม้ว่าจะไม่เป็นความเสี่ยงกับเศรษฐกิจไทยก็ตาม เนื่องจากความเสี่ยงเรื่องความเปราะบางของเศรษฐกิจไทยต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของโลกนั้นยังไม่น่าสูงมาก เพราะการลงทุนของต่างชาติไม่มีน้ำหนักมากนักในตลาดพันธบัตรไทยเมื่อเทียบกับภูมิภาค ดังนั้นแม้ว่าอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะมีการปรับตัวสูงขึ้น โอกาสที่จะทำให้อัตราดอกเบี้ยของไทยปรับขึ้นเร็วและแรงก็ไม่น่าจะเห็น หรือหากมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจริง ผลที่ส่งผ่านไปยังระบบเศรษฐกิจจริงก็ไม่น่าสูงมาก