"ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ " เคาะราคา IPO จำนวน 54.56 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 2.30 บาท คาดได้เงินระดมทุนราว 125.50 ล้านบาท กำหนดเปิดจองซื้อ 24-26 พ.ย.นี้ พร้อมเทรดในตลาด mai 2 ธ.ค.64 โดยมีบล. คิงส์ฟอร์ด เป็นแกนนำขายหลักทรัพย์ ด้าน“ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่” ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน
นายธีรวุฒิ นวมงคลชัยกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.อาร์.วี. รับเบอร์ โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TRV เปิดเผยว่า บริษัทฯวางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ พร้อมสร้างผลประกอบการที่ดีในระยะยาว การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อสนับสนุนให้ TRV มีศักยภาพและความพร้อมสูงในการเติบโตรองรับความต้องการของลูกค้า และความก้าวหน้าของอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ คาดเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ ประมาณ 125.50 ล้านบาท ไปใช้เป็นเงินทุนในการซื้อเครื่องจักร จำนวน 85.00 ล้านบาท ภายในปี 2568 เพื่อชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน จำนวน 10.00 ล้านบาท ภายในปี 2566 เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน จำนวน 22.83 ล้านบาท ภายในปี 2566 และเป็นค่าใช้จ่ายในการเสนอขายหลักทรัพย์ จำนวน 7.67 ล้านบาท ภายในช่วงเวลาเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ โดยแผนการระดมทุนครั้งนี้จะนำเงินไปใช้ลงทุนซื้อเครื่องจักรจำนวน 15 เครื่อง ซึ่งจะสนับสนุนให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นประมาณ 94 ล้านชิ้น
ล่าสุด TRV ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 1 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
นายวรนันท์ ถาวรนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ คิงส์ฟอร์ด จำกัด (มหาชน) ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เปิดเผยว่า TRV กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 54.56 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.30 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อในวันที่ 24-26 พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันที่ 2 ธันวาคม 2564 ในหมวดสินค้าอุตสาหกรรม ในชื่อหลักทรัพย์ว่า "TRV"
สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.30 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 17.69 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2563 - 30 กันยายน 2564)
พร้อมมองว่า TRV มีปัจจัยพื้นฐานโดดเด่น และภายหลังสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งกำลังซื้อที่ฟื้นตัวรับมาตรการภาครัฐ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่สนับสนุนการผลิตเพื่อทดแทนการนำเข้า และเน้นการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้กับห่วงโซ่อุปทาน จนทำให้ปัจจุบันไทยเป็นศูนย์การผลิตและการส่งออกของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เสริมโอกาสให้ธุรกิจชิ้นส่วน และเพิ่มศักยภาพให้ TRV ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายชิ้นส่วนยางขึ้นรูปในยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต จึงมองว่า TRV จะเป็นหุ้นคุณภาพสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาบริษัทซึ่งมีเส้นทางและปัจจัยส่งเสริมการเติบโตที่มั่นคง
ด้านนางสาวเดือนพรรณ ลีลาวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไพโอเนีย แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความน่าสนใจของ TRV มีจุดแข็งและกลยุทธ์ ในความเชี่ยวชาญตลอดระยะเวลามากกว่า 20 ปี ได้รับความไว้วางใจในการผลิตและส่งมอบสินค้า ส่งผลให้บริษัทได้รับความไว้วางใจผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปชิ้นส่วนประกอบของรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าแบรนด์ดังต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ผลิตรายใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น เป็นหนึ่งฐานลูกค้าหลักของบริษัท ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนยางขึ้นรูปนั้นนับเป็นส่วนสำคัญอย่างมากและมีความต้องการในตลาดสูง การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนแผนการขยายกำลังการผลิต และการแข่งขันในตลาด เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต
ตลอดจนผลประกอบการช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2561 – 2563 อยู่ที่ 146.40 ล้านบาท 168.55 ล้านบาท และ 159.65 ล้านบาท ตามลำดับ มีกำไรสุทธิ 23.59 ล้านบาท 25.27 ล้านบาท และ 21.20 ล้านบาท ตามลำดับ โดยในปี 2563 แม้ลูกค้าของ TRV จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 แต่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการที่ดีได้
ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 2564 มีรายได้รวม 134.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.34 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 114.37 ล้านบาท มีกำไรสุทธิเท่ากับ 22.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 15.32 ล้านบาท และมีอัตรากำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา อยู่ที่ 16.53 % และ 13.42 % ตามลำดับ