หุ้นเด่นกลุ่มลิสซิ่งผลงานไตรมาส 3 ไม่สดใส MTC และ SAWAD กำไรตก ขณะที่ TIDLOR และ SAK เพิ่มเล็กน้อย ส่วน ASK เติบโตมากสุด ส่งผลให้ราคาหุ้นแผ่ว เหตุโควิด-19 ดันหนี้เสียพุ่ง อีกทั้งแบงก์ไทยพาณิชย์โดดเข้ามาลุยธุรกิจนอนแบงก์เต็มตัว สร้างความสั่นสะเทือนให้บริษัทดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถ และจำนำทะเบียนรถ อีกทั้งแบงก์ชาติประกาศคุมเข้มทั้งเพดานดอกเบี้ยการปล่อยกู้รวมถึงค่าธรรมเนียม กระทบการดำเนินงานของกลุ่ม ขณะโบรกฯ ยังคงแนะนำให้เก็บหุ้นเข้าพอร์ต เชื่อมีไว้ในมืออนาคตไม่ผิดหวัง
หุ้นกลุ่มนอนแบงก์ ราคาขึ้นๆลงๆ หลังผลกำไรไตรมาส3 ส่วนใหญ่ลดลง ทำให้ราคาหุ้นร่วงลง ฉุดให้หุ้นกลุ่มนอนแบงก์ปรับฐานลงเกือบทั้งแผง เพราะสถานการณ์ “โควิด”ส่งผลกระทบกับหุ้นกลุ่มนอนแแบงก์ ซึ่งกำไรที่ลดลงเกิดจาก หนี้เสียเพิ่มสูงขึ้นมากน้อยแตกต่างกันไป จะว่าไปแล้วหุ้นกลุ่มนอนแบงก์เริ่มปักหัวลงตั้งแต่ ธนาคารไทยพาณิชย์ประกาศโครงสร้างธุรกิจ และจะเข้ามาในธุรกิจนอนแบงก์เต็มตัว สร้างความสั่นสะเทือนให้บริษัทดำเนินธุรกิจปล่อยสินเชื่อบุคคล สินเชื่อเช่าซื้อรถ และจำนำทะเบียนรถ
นอกจากนั้นแบงก์ชาติยังมีนโยบายควบคุมดอกเบี้ยสินเชื่อธุรกิจนอนแบงก์ ซึ่งจะทำให้รายได้บริษัทนอนแบงก์ในตลาดหลักทรัพย์ลดลง ราคาหุ้นจึงปรับตัวลงต่อเนื่องและแม้ราคาหุ้นกลุ่มนอนแบงก์จะลงมาลึก แต่นักลงทุนไม่กล้าผลีผลามเข้าช้อน เพราะประเมินสถานการณ์กลุ่มนอนแบงก์แล้ว ระยะสั้นยังมีผลความเสี่ยงจากผลกระทบโควิด การถูกควบคุมอย่างเข้มงวดทั้งเพดานดอกเบี้ยการปล่อยกู้และค่าธรรมเนียม
กลุ่มนอนแบงก์อาจไม่ใช่หุ้นดาวรุ่ง
ดังนั้น อนาคตจากนี้ไป กลุ่มนอนแบงก์อาจไม่ใช่หุ้นดาวรุ่ง กำไรเติบโตอย่างมั่นคงแล้ว แต่กำลังเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ผลประกอบการมีแนวโน้มชะลอตัว และราคาหุ้นนอนแบงก์มีทิศทางปรับตัวสูงขาลง นักลงทุนจึงไม่รีบร้อนเข้าไปรับเพราะยังมีโอกาสรอคอย เพื่อเก็บหุ้นนอนแบงก์ในราคาต้นทุนที่ต่ำกว่า
อย่างไรก็ดี ผลประกอบการไตรมาส 3 ของหุ้นในกลุ่มนี้มี 5 ตัว อย่างบริษัท เมืองไทยแคปปิตอล จำกัด(มหาชน)หรือMTC ,บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)หรือ SAWAD ,บริษัท เงินติดล้อ จำกัด(มหาชน)หรือTIDLO R และบริษัท เอเซียเสริมกิจลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ASK ที่แจ้งออกมาพบว่า MTC งวดนี้กำไรสุทธิ 1,200.76 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนทำไว้ 1,339.97 ล้านบาท ,SAWAD มีกำไรสุทธิ 1,111.60 ล้านบาท ลดลงจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำไว้ 1,204.01 ล้านบาท , TIDLOR งวดนี้กำไรสุทธิ 812,722 ล้านบาท เพิ่มจากปีก่อนเล็กน้อยที่ทำไว้ 810.86 ล้านบาท , SAK กำไรสุทธิ 166.43 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำไว้ 156.12 ล้านบาท และปิดท้ายด้วย ASK ทำกำไรเติบโตต่อเนื่องที่ 314.33 ล้านบาท เพิ่มจากงวดนี้ปีก่อนที่ทำได้ 231.53 ล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้นที่เทรดกันแต่ละวันยังได้รับความสนใจจากนักลงทุนแม้ว่าราคาหุ้นจะเขียวบ้างแดงบ้างสลับกันไปในแต่ละวัน แต่พักหลังราคาหุ้นที่กล่าวมาข้างต้นจะต่ำลง ล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 พ.ย.ราคาปิดลดลงทุกตัว โดย MTC ปิดที่ 60.25 บาท ลดลง0.50 บาทหรือ0.82% มูลค่าซื้อขาย 327.56 ล้านบาท TIDLOR ปิดที่ 38 บาท ลดลง 0.25 บาทหรือ 0.65% มูลค่าซื้อขาย 595.02 ล้านบาท SAWAD ปิดที่ 66.25 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ 1.85% มูลค่าซื้อขาย 977.13 ล้านบาท SAK ปิดที่ 9.90 บาท ลดลง 0.05 บาทหรือ 2.50% มูลค่าซื้อขาย 66.37 ล้านบาทและ ASK ปิดที่ 39.75 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 4.22% มูลค่าซื้อขาย 68.51 ล้านบาท
SAWAD เด่นสุดในกลุ่มแนะซื้อราคา 70 บ.
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จํากัด (มหาชน) ระบุว่า SAWAD อยู่ระหว่างการศึกษาธุรกิจใหม่ (เช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า) คาดเริ่มดำเนินงานในไตรมาสแรกปี 65 ผ่านการให้สินเชื่อกับลูกค้าของพาร์ตเนอร์ซึ่งบริษัทจะเป็นเพียงผู้ให้สินเชื่อ,ไม่ต้องรับผิดชอบต่อสินค้าคงเหลือ และจะคิดloan yieldที่สูงถึง50% คงประมาณการกำไรสุทธิปี2564ที่4.76พันล้านบาทเพิ่มขึ้น6% จากปีก่อนและปี2565ที่5.22พันล้านบาท เพิ่มขึ้น10% เทียบปีก่อน คงคำแนะนำ "ถือ"ปรับราคาเป้าหมายเป็น 70 บาท
บล.หยวนต้า มอง SAWAD หลังแจ้งผลงานไตรมาส 3 แย่กว่าที่ตลาดคาด โดยแม้พอร์ตสินเชื่อยังโต และมีการบันทึกเงินตั้งสำรองโอนกลับ แต่โดยรวมยังถูกกดดันด้วย NIM ที่ปรับลงต่อเนื่อง หลังใช้นโยบายสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ รวมถึงมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้น จึงปรับประมาณการกำไรตั้งแต่ปี 2564 ลงเฉลี่ยปีละ 8.5% เพื่อสะท้อนการฟื้นตัวของ NIM ที่ทำได้ยากขึ้นเพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงจากการฟื้นตัวของ Asset Yield ที่ลำบาก จึงปรับลดสมมุติฐาน Sustainable ROE ของSAWAD ลงจาก 20% เหลือ 17.5% ใกล้เคียงกับ ROE ในไตรมาส 3 ได้มูลค่าพื้นฐานใหม่ปี2565 ที่ 76 บาท มองว่า SAWAD ยังมีจุดเด่นมากกว่าบริษัทในกลุ่มรายอื่นและคงคำแนะนำ “ซื้อ”
นางสาวธิดา แก้วบุตตา ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์องค์กร บริษัท ศรีสวัสดิ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD เปิดเผยว่า โค้งท้ายปลายปี บริษัทเร่งเดินหน้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายพอร์ตเบี้ยประกันที่ 2,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี 2564 ล่าสุดเปิดตัวโปรโมชันประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจชั้น 1, 2 และ 3 ด้วยการให้ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 12 งวด ในอัตราดอกเบี้ย 0% เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระการชำระเบี้ย ประกันภัยเต็มจำนวน เสิร์ฟความสะดวกรวดเร็วให้ลูกค้าแบบไม่ต้องรอนานด้วยระบบ IBS (Insurance Broker System) รองรับการขายประกัน ณ สาขาให้บริการ โดยสามารถเลือกบริษัทประกันรถยนต์ และเปรียบเทียบเบี้ยประกันภัย ได้
ซื้อ TIDLOR ติดพอร์ตราคา 43-50 บาท
บล.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ประเมินหุ้น TIDLOR แนะนำซื้อ ให้ราคาเป้าหมาย 43 บาท หลังอวดกำไรไตรมาสล่าสุดทรงตัวจากปีก่อนและเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน ผลจากรายได้รวมที่ยังเติบโตเพราะการบริหารต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายแม้มีการตั้งสำรองเพิ่ม ขณะ 9 เดือนแรกกำไรเพิ่ม 32% จากปีก่อนผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้ของรายได้ดอกเบี้ยจากสินเชื่อ โดยเฉพาะความสำเร็จของ “บัตรติดล้อ” ที่เพิ่มความสะดวกให้ลูกค้าเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ตลอด 24 ชั่วโมงและยังคงระดับการบริการเต็มประสิทธิภาพทั้งช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์และโมบายแอพพลิเคชั่น ล่าสุดมีผู้ใช้บัตรติดล้อ รวม 2.18 แสนรายแล้ว อีกทั้งมีรายได้ค่าธรรมเนียม ขณะคุณภาพสินทรัพย์ NPLเหลือ 1.41%
บล.เคทีบีเอสที คงคำแนะนำซื้อ หุ้น TIDLOR ให้ราคาเป้าหมาย 50.00 บาท อิง 2022E PBV ที่ 4.5x หลังรายได้ผลงานไตรมาส 3 กำไรยังคงเติบโต ใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด จากสินเชื่อที่ขยายตัว แม้ loan yield ลดลงเล็กน้อยเป็น 17.6% จากการช่วยเหลือลูกหนี้เพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันลูกหนี้กลุ่มนี้กว่า 80% ได้กลับมาชำระเป็นปกติ เชื่อว่า loan yield ของบริษัทจะกลับมาดีขึ้น ส่วน ต้นทุนทางการเงินลดลง ซึ่งช่วยชดเชย credit cost ที่เพิ่มขึ้น ตามความระมัดระวังในการตั้งสำรองเป็นหลัก เนื่องจาก NPL ปรับตัวลง และ LLR/Loan ที่ 4.6% ถือว่าสูงเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการรายอื่นในอุตสาหกรรม คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2021E ที่ 3.1 พันล้านบาท และปี 2022E ที่ 4.1 พันล้านบาท โตต่อเนื่องจากปีก่อน คาดไตรมาส 4 ทำสถิติสูงสุดใหม่ จากยอดปล่อยสินเชื่อที่กลับดีขึ้หลังคลาย lock down, ยอดขายประกันที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล, ออกแคมเปญผ่อนประกัน 0% 10เดือน และความจำเป็นในการตั้งสำรองต่างจาก LLR/Loan ที่สูง
นายปิยะศักดิ์ อุกฤษฎ์นุกูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ TIDLOR เผยว่าผลงานไตรมาส 3 เติบโตอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง แม้มีความท้าทายจากผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงที่มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทว่า ตั้งแต่เดือนกันยายนที่ผ่านมาเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีด้านความต้องการสินเชื่อและประกันภัย หลังจากรัฐบาลเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้สถานการณ์สินเชื่อและธุรกิจประกันภัยปรับตัวดีขึ้นเข้าใกล้ภาวะปกติ ขณะต้นทุนทางการเงินลดลงหลังจากที่เสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ ส่วนอัตราหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ลดลงอยู่ที่ 1.41% และเดินหน้าขยายเครือข่ายสาขาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มช่องทางให้บริการแก่ลูกค้า
โบรกฯ ให้ซื้อลงทุน MTC หุ้นgrowth Stock
บล.เอเชีย เวลท์ ประเมิน MTC หลังแจ้งบไตรมาส 3 กำไรลดลง 1.2 พันล้านบาท ลดลง จากไตรมาสและปีก่อน ซึ่งได้รับผลกระทบจากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และ Loan Yield ที่ลดลง คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น และ Loan Yield ลดลง ส่วนแนวโน้มรายได้ยังเติบโตได้ดีจากเงินให้สินเชื่อเติบโตได้โดดเด่นช่วงที่ผ่านมา ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 และ 2565 มาอยู่ที่ 5.0 และ 5.7 พันล้านบาท ตามลำดับแนะนำ “เก็งกำไร”
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ คาดอุปสงค์สินเชื่อยังคงแข็งแกร่ง แต่ผลตอบแทนสินเชื่อลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อน และจะแตะจุดต่ำสุด โดยผลตอบแทนเงินกู้ที่ลดลงน่าจะเกิดจากการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เดิมเป็น 16% จาก 18-20% และหลักเกณฑ์การคิดอัตราดอกเบี้ยใหม่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ขณะที่ Non-NII คาดลดลงจากค่าธรรมเนียมการเก็บหนี้ฉบับใหม่ 50-100 บาทต่อรายการต่อเดือน ซึ่งก่อนหน้านี้ MTC เรียกเก็บค่าบริการ 99-199 บาท แนะนำ “ถือ”
บล.แลนด์แอนเฮ้าส์ มอง MTC แม้กำไรหดเชื่อไตรมาส 4 สินเชื่อยังดีมากเพราะเป็น High season เป้าสินเชื่อทั้งปีโต 30% คาดทำได้ไม่ยาก ส่วนปี 65 เน้นเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ Yield สูง บนฐานลูกค้ากว่า 2.2 ล้านครัวเรือน คาดสินเชื่อแตะแสนล้านบาท ดันกำไรเติบโตโดดเด่นแนะนำ “ซื้อลงทุน” ยังชอบหุ้น MTC ถือเป็นหุ้นgrowth Stock ที่มีความสามารถการทำกำไรสูงสุดในกลุ่มจำนำทะเบียน
นายชูชาติ เพ็ชรอำไพ ประธานกรรมการบริหาร MTC เผยว่าา ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 11,785 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,844 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 มีรายได้รวม 4,032 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 1,201 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลให้ความต้องการเงินทุนเพิ่มขึ้น ทำให้ยอดสินเชื่อยังคงเติบโตได้มากขึ้น โดยมียอดสินเชื่อคงค้างกว่า 85,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18,000 ล้านบาท หรือ 27% จากงวดเดียวกันปีก่อน อีกทั้งการเปิดสาขาใหม่ ช่วยขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น เพราะต้องการให้ประชาชนมีโอกาสที่เข้าถึงสินเชื่อที่สะดวก และเป็นธรรม ส่วนไตรมาส 4 ประเมินสินเชื่อไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท และจะเป็นไตรมาสที่สูงที่สุดของปีนี้ ส่งผลพอร์ตสินเชื่อคงค้างทั้งปี 2564 ขยายตัวไม่ต่ำกว่า 9 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% จากปี 2563
Q4 SAK เติบโตต่อเนื่องให้ราคาหุ้น 9 บาท
บล.ทิสโก้ มอง SAK แนะนำซื้อSAK ให้ราคา 9 บาท คาดกำไรสุทธิเติบโต5.6% ในปีนี้ และขยายตัวอีก 26.2%-20.8% ในปี 2022F-23F เป็น 749 ล้านบาท /904 ล้านบาท ด้านราคาแม้ว่าจะยังสูงกว่าราคา IPO (3.7 บาท) แต่ก็ได้ลดลงมากว่า 30.5% จากจุดสูงสุดในเดือนพฤษภาคมที่ 12.8 บาท ทั้งนี้ คาดโมเมนตัมจะดีขึ้นในช่วง 2H21F-22F จะช่วยหนุนราคาหุ้น ขณะที่งบไตรมาส 3 กำไรเติบโตจากสินเชื่อเติบโต เป็น 8.4 พันล้านบาท และ อัตราผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ขณะที่ cost-to-income ลดลง เนื่องจากต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการเปิดสาขาใหม่ 200 สาขาในช่วงครึ่งปีแรกของปี NPL ratio อยู่ที่2.20% คาดกำรไตรมาส 4 เติบโตต่อเนื่อง จากการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง และต้นทุนปกติกลับเป็นปกติ
นายศิวพงศ์ บุญสาลี กรรมการผู้จัดการ SAK เผยว่า บริษัทฯขยายพอร์ตสินเชื่อรวม 8,417.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถในการแข่งขันที่ดีโดยเข้าไปสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนให้แก่ลูกค้ารายใหม่ได้มากกว่า 60,000 สัญญา ทำให้มีลูกค้าพิ่มขึ้น ส่งผลให้ไตรมาส 3 รายได้รวมจากดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่ม ซึ่งพอร์ตสินเชื่อที่จำนำทะเบียนรถยังเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ทำสัดส่วนรายได้ 84% ที่เหลือเป็นสินเชื่อรายย่อย ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากการปล่อยสินเชื่อโดยเฉลี่ย (Yield on Loan) เพิ่มเป็น 24.1% ทำให้มีกำไรสุทธินิวไฮ
หุ้น ASK กำไรแกร่ง ราคาเหมาะสม 50 บาท
บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ฯ ประเมินว่า ASK เป็นหุ้นเติบโตสูงที่ไม่ควรมองข้าม คาดกําไรไตรมาส 3ทำไว้ 301 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากไตรมาสก่อน จากการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่งและการควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ดี ซึ่งสามารถชดเชยต้นทุนสินเชื่อที่เพิ่มขึ้นได้ คาดว่ากําไรจะเติบโตทุกไตรมาสถึงสิ้นปี 2565 ขณะที่ P/E ปี 2565 เทรดเพียง 14 เท่า
ทั้งนี้ ASK เป็นผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อรถบรรทุกและรถยนต์มี Chailease (ไต้หวัน) และกลุ่มธนาคารกรุงเทพเป็นผู้ถือหุ้นหลักผู้บริหารตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 20% และรายได้จากนายหน้าประกันภัย 30-40% สำหรับปีนี้และปีหน้าโดยได้แรงหนุนจากภาคการขนส่งการเติบโตแข็งแกร่งในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ส่งออกและก่อสร้าง ยอดขายรถบรรทุกในประเทศเพิ่มขึ้น 42% จากปีก่อนเป็น 2 หมื่นคันใน 8 เดือน เชื่อว่าหุ้นมีโอกาสเติบโตสูงและมองเป็นโอกาสดีในการสะสมจากการเติบโตของกำไรที่แข็งแกร่งที่ 30% ต่อปี และ PER ปี 2565 ที่ 12 เท่าราคาเหมาะสมอยู่ที่ 55 บาท