" โรงพยาบาลลาดพร้าว" ไตรมาส 3 รายได้รวมโตอยู่ที่ 880.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.99% และกำไร 288.54 ล้านบาท พุ่งแรง 462.83% หนุนผลจากทั้งผู้ป่วยประกันสังคม และผู้ป่วยที่ชำระเงินสด จากสถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดหนักมากในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สนับสนุนทั้งปีรายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุด นั บอร์ดใจดี ไฟเขียวจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 อัตราหุ้นละ 0.10 บาท
ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH เปิดเผยถึง ผลประกอบการของบริษัทฯ ในงวดไตรมาส 3/2564 (สิ้นสุดเดือนกันยายน 2564) มีกำไรสุทธิสำหรับงวด (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่) จำนวน 288.54 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 51.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 462.83 % โดยมีรายได้รวม 880.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 80.99%
โดยมีรายได้จากการรักษาพยาบาล 810.95 ล้านบาท เติบโตขึ้น 92.79% การเพิ่มขึ้นของรายได้การรักษาพยาบาลในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา สำหรับผู้ป่วยทั่วไปมีอัตราการเติบโต 61.17% และจากโครงการประกันสังคม 131.18% โดยมีปัจจัยบวกหลังจากผู้เข้ารับบริการทั้งผู้ป่วยปกติและผู้ป่วยที่มีอาการร่วมกับโควิด-19 เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ทั้งการให้บริการตรวจคัดกรองโควิด-19 และยืนยันผลกรณีผู้ป่วยนอก (OPD) การแยกผู้ป่วยเพื่อรักษาในหอผู้ป่วยเฉพาะกิจแยก (Hospitel) การรักษาผู้ป่วยติดเชื้อแสดงอาการรุนแรงระยะติดตามใกล้ชิด (Covid-Wards) การรักษาผู้ป่วยใน (IPD) ติดเชื้อโควิด-19 ในหอวิกฤต (Covid-ICUs)
รวมถึงการร่วมบริหารศูนย์พักคอยสำหรับชุมชน ซึ่งบริษัทได้ขยายกำลังการให้บริการหอผู้ป่วยแยกรองรับผู้ป่วยในที่ป่วยจากไวรัสโควิด-19 รวมประมาณ 200 เตียง ในปลายไตรมาส 2/64 เพิ่มสูงขึ้นเป็นไม่น้อยกว่า 1,000 เตียงต่อวันในไตรมาส 3/64 นอกจากนี้ การเติบโตของรายได้ส่วนงานตรวจสุขภาพ (Mobile Checkup) และตรวจคัดกรองโควิดนอกสถานที่ทั้งในโรงงานและหน่วยงานต่างๆ เพิ่มขึ้นถึง 254.38% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สนับสนุนภาพรวมธุรกิจของโรงพยาบาล ลาดพร้าว ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมากมีกำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ 413.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 364.82% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 88.99 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 1,891.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 1,303.71 ล้านบาท
ขณะที่การเติบโตต่อเนื่องของรายได้จากการให้บริการของบริษัทย่อย บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (มหาชน) หรือ AMARC ในงวด 9 เดือนของปีนี้ เติบโตในอัตรา 8.61% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จากการขยายขอบเขตการให้บริการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทั้งสินค้าเกษตร อาหารและยา กอปรกับกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้น แม้อยู่ในภาวะที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ปัจจุบันตัวเลขผู้ป่วยทั่วไปและผู้ป่วยโควิด-19 เริ่มลดลง แต่คาดว่าในปีนี้รายได้และกำไรจะทำสถิติสูงสุด ตั้งแต่โรงพยาบาลเปิดดำเนินการมากว่า 28 ปี โดยรายได้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% จากเป้าหมายที่วางไว้ 25-30% ส่วนกำไรคาดเติบโตก้าวกระโดด
จากผลประกอบการในงวด 9 เดือนของปี 2564 ที่ผลงานออกมาเป็นที่น่าประทับใจทั้งรายได้และกำไร ทางคณะกรรมการบริษัทฯ พิจารณาจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลครั้งที่ 2 ให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญ สำหรับงวด 9 เดือนสิ้นสุด 30 ก.ย. 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท (สิบสตางค์) ให้กับหุ้นสามัญของบริษัท ขึ้น XD วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 9 ธันวาคม 2564 นี้
ขณะที่แนวโน้มในช่วงไตรมาส 4/64 คาดยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกันยายน ซึ่งส่งผลต่อยอดรับรู้รายได้จากบริการที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ลดลง อย่างไรก็ตาม คาดว่าผลการดำเนินงานโดยรวมจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยในไตรมาส 4 นี้ คนไข้ทั่วไป (Non-Covid) เริ่มกลับเข้ามารักษาพยาบาลมากยิ่งขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามนโยบายเปิดประเทศของรัฐบาล ทำให้คนไข้คลายกังวลเรื่องโควิดและคนไข้ทั่วไปส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลฯ ได้รับการฉีดวัคซีน และกลับเข้ามาโรงพยาบาลพบแพทย์เฉพาะทางอื่นๆ เป็นปกติ
ทางด้านวัคซีนโควิด-19 (โมเดอร์น่า) ที่โรงพยาบาลสั่งซื้อผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชนและองค์การเภสัชกรรม เป็นทางเลือกให้กับประชาชน โรงพยาบาลได้รับจัดสรรและชำระเงินแล้วประมาณ 40,000 โดส มีผู้สนใจจองเต็มจำนวน โดยเริ่มนำเข้ามาในช่วงต้นเดือนพ.ย. ขณะนี้เริ่มทยอยฉีดทันทีหลังจากได้รับวัคซีนแล้ว