"เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์" งวดไตรมาส 3 เติบโต 39.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน พร้อมทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง 3 ไตรมาส และมีกำไรสุทธิ 139.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดรายได้รวมปีนี้ทะลุเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท และหนุนกำไร หลังไตรมาสสุดท้ายเตรียมรับรู้ส่วนกำไรจากการเข้าถือหุ้นเฟสแรก 15% ใน ESCO ที่ปิดดีลแล้ว
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง และทำรายได้รวมเป็นสถิติสูงสุดใหม่ติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยมีรายได้รวม 1,388.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 139.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยทั้งรายได้และกำไรสุทธิสูงกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวม 1,281.9 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 115.5 ล้านบาท
ทั้งนี้ รายได้จากธุรกิจต่างๆ ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มีอัตราเติบโตแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ (1) ธุรกิจขนส่งสินค้า มีรายได้ 237.6 ล้านบาท เติบโตก้าวกระโดด 114.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรับรู้รายได้จากการซื้อกิจการบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด ที่เป็นผู้ให้บริการรับขนส่งชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์และได้รับงานใหม่ (2) ธุรกิจคลังสินค้าห้องเย็น มีรายได้ 214.9 ล้านบาท เติบโต 10.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีอัตราการเช่าพื้นที่สูงกว่า 80%
(3) ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย มีรายได้ 156.3 ล้านบาท เติบโต 43.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากลูกค้าใช้ระยะเวลาในการจัดเก็บสินค้าในคลังเพิ่มขึ้น (4) ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ มีรายได้ 107.1 ล้านบาท เติบโต 14.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (5) ธุรกิจคลังสินค้าทั่วไป มีรายได้ 98.7 ล้านบาท เติบโต 10.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (6) ธุรกิจรับขนย้าย มีรายได้ 69.2 ล้านบาท เติบโต 46.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) และธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัวให้เช่า (Self-Storage) มีอัตราเติบโตโดดเด่นเช่นกัน
ส่วนธุรกิจในต่างประเทศมีผลการดำเนินที่ดี เช่น ธุรกิจให้บริการอาหารที่เข้าลงทุนใน CSLF ไต้หวัน มีรายได้ 349.9 ล้านบาท เติบโต 29.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน Transimex ผู้บริการโลจิสติกส์แบบครบวงจรในเวียดนาม ซึ่ง JWD ถือหุ้น 24.62% ทำกำไรสุทธิได้กว่า 198 ล้านบาท ส่งผลดีต่อการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนลงทุน แม้มีบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์ภายในประเทศอย่างเข้มงวดเพื่อควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปีนี้มีอัตราเติบโตตามเป้าหมาย โดยมีรายได้รวม 3,817.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 395.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากสามารถขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่และเริ่มรับรู้รายได้รวมถึงส่วนแบ่งกำไรตามแผนงานที่วางไว้ ตลอดธุรกิจเดิมที่มีการเติบโตได้ดี
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนที่เกี่ยวเนื่องในไตรมาสสุดท้ายคาดว่าจะเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่รัฐบาลเดินหน้าเปิดประเทศและผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์เพิ่มขึ้น เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ทำให้ภาคธุรกิจต่างๆ มีความต้องการใช้บริการขนส่งและจัดเก็บสินค้าเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับดีมานด์จากผู้บริโภค
ดังนั้น จึงคาดว่าปี 2564 จะสามารถทำรายได้รวมสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรที่มีโอกาสทำได้มากกว่าคาดการณ์ หลังจากผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกที่ผ่านมามีอัตราเติบโตเป็นที่น่าพอใจ โดยคาดว่าผลการดำเนินงานไตรมาสสุดท้ายจะดีที่สุดในรอบปีนี้ เนื่องจากบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนตั้งแต่เดือน ต.ค. หลังจากปิดดีลเข้าถือหุ้นเฟสแรก 15% ในบริษัท อีสเทิร์นซี แหลมฉบัง เทอร์มินัล จำกัด (EASTERN SEA LAEM CHABANG TERMINAL หรือ ESCO) ผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ในท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และผู้ให้บริการสถานีบรรจุและขนถ่ายสินค้าตู้คอนเทนเนอร์ ลาดกระบัง (Inland Container Depot หรือ ICD) เป็นที่เรียบร้อย และจะเริ่มรับรู้รายได้จากการให้บริการคลังสินค้า Fulfillment ในย่านมีนบุรี ที่เป็นความร่วมมือทางธุรกิจ MyCloudFulfillment บริษัทสตาร์ทอัปชั้นนำที่ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์อันดับ 1 ให้บริการจัดเก็บ แพกสินค้าและจัดส่งครบในที่เดียว เพื่อรองรับผู้ค้าขายสินค้าทางออนไลน์
ส่วนธุรกิจเดิมคาดว่าจะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจรับฝากและบริหารยานยนต์ที่จะได้รับปัจจัยบวกจากโรงงานผลิตรถยนต์ชั้นนำที่กลับมาเดินเครื่องผลิตรถยนต์ตามปกติ ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย ที่คาดว่าจะมีดีมานด์จัดเก็บสินค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจุบันยังคงมีภาวะตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไม่เพียงพอต่อความต้องการ ธุรกิจให้บริการอาหารในไต้หวัน ที่จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซันซึ่งจะส่งผลให้มีความต้องการใช้บริการด้านโลจิสติกส์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง เป็นต้น
“สำหรับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลกระทบเล็กน้อยกับบริษัทฯ เนื่องจากปัจจุบันรายได้ส่วนใหญ่ของบริษัทฯ มาจากธุรกิจคลังสินค้าและบริการที่เกี่ยวเนื่อง ส่วนการให้บริการขนส่งสินค้ามีสัดส่วนประมาณ 15% ของรายได้รวม โดยบริษัทฯ ได้ทำข้อตกลงกับลูกค้าในการขอปรับขึ้นค่าบริการขนส่ง หากราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นถึงจุดที่ตกลงกันไว้ รวมถึงการว่าจ้างผู้ให้บริการขนส่งสินค้าภายนอกที่เป็นพันธมิตรในรูปแบบเอาต์ซอร์ส ดังนั้น บริษัทฯ จึงไม่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ผันผวนโดยตรงทั้งหมด” นายชวนินทร์ กล่าว