บริษัทจดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์ฯที่ถูกจัดเป็น “MID-CAP” หรือหุ้นขนาดกลาง ที่มีมาร์เกตแคปตั้งแต่ 5 หมื่นล้านบาท ลงมาถึง 1 หมื่นล้านบาท โดยครั้งนี้จะคัดเลือกโดยมี 4 ปัจจัย คือ 1.ค่า P/E ต่ำกว่า 12 เท่า ข้อ 2 ค่า P/BV ต่ำกว่า 1 เท่า ข้อ 3 อัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงกว่า 3% และข้อ 4. อัตราผลตอบแทนด้านราคา YTD เป็นบวก ซึ่งมี 7 หุ้นที่เข้าปัจจัยดังกล่าว
1.TCAP (บมจ.ทุนธนชาต) มาร์เกตแคป 41,070 ล้านบาท ค่า P/E 10.53 เท่า, P/BV 0.58 เท่า, Yield 8.51%, ผลตอบแทนราคา YTD +2.17%, ราคาล่าสุด 35.25 บาท เหลืออัพไซด์ 6.38% จากราคาเป้าหมาย 37.50 บาท
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 39.00 บาท (30 มี.ค.64) และราคาต่ำสุด 31.50 บาท (29 ม.ค.64) ทั้งนี้มีข่าวว่า กลุ่มทุนธนชาต (TCAP) จะเข้าซื้อหุ้น TTB เพิ่มขึ้นอีก 2% หรือประมาณ 2 พันล้านหุ้นในกระดาน ตามเพดานใหม่ที่ขอธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจะเพิ่มเป็นไม่เกิน 24.99% จากเดิมที่อนุมัติไว้ไม่เกิน 22.90%
2.BKI (บมจ.กรุงเทพประกันภัย) มาร์เกตแคป 29,812 ล้านบาท ค่า P/E 10.59 เท่า, P/BV 0.92 เท่า, Yield 5.36% และผลตอบแทนราคา YTD +1.45% , ราคาล่าสุด 280.00 บาท ไม่มีราคาเป้าหมาย
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 308.00 บาท (24 พ.ค.64) และราคาต่ำสุด 263.00 บาท (30 ก.ค.64) และในรายชื่อ10 ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ BKI มีธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ถือใหญ่สุด 9.97% มีนายนิติ โอสถานุเคราะห์ บิ๊กบอส โอสถสภา นักลงทุนในตำนาน ร่วมถือหุ้นอยู่ด้วยในลำดับที่ 9 ถือ 2.09%
3.PSH (บมจ.พฤกษา โฮลดิ้ง) มาร์เกตแคป 29,107 ล้านบาท ค่า P/E 11.80 เท่า, P/BV 0.68 เท่า, Yield 7.22% และผลตอบแทนราคา YTD +6.40%ราคาล่าสุด 13.30 บาท เหลืออัพไซด์ 12.78% จากราคาเป้าหมาย 15.00 บาท
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 15.30 บาท (4 มิ.ย.64) และราคาต่ำสุด 12.00 บาท (11 ส.ค.64) โดย PSH เป็น 1 ในหุ้นอสังหาฯ ที่โดดเด่น เพราะได้ประโยชน์จากธปท.คลายกฏ LTV และมีการซื้อขายที่ระดับ P/E ต่ำ
4.AP (บมจ.เอพี (ไทยแลนด์)) มาร์เกตแคป 27,841 ล้านบาท ค่า P/E 5.67 เท่า, P/BV0.92 เท่า, Yield 5.08% และผลตอบแทนราคา YTD +22.07% ราคาล่าสุด 8.85 บาท เหลืออัพไซด์ 17.51% จากราคาเป้าหมาย 10.40 บาท
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 9.30 บาท (25ต.ค.64) และราคาต่ำสุด 7.10 บาท (28 ม.ค.64) ล่าสุดจับมือ “อิเกีย ประเทศไทย” เปิดตัวต้นแบบสเปซ Multi-Functional Future เจาะตลาดแมสคอนโด
5.SIRI (บมจ.แสนสิริ) มาร์เกตแคป 19,345 ล้านบาท ค่า P/E 8.07 เท่า, P/BV0.51 เท่า, Yield 3.07% และผลตอบแทนราคา YTD +60.49% ราคาล่าสุด1.30 บาท ดาวน์ไซด์ 26.92% จากราคาเป้าหมาย 0.95 บาท
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 1.52 บาท (2 มิ.ย.64) และราคาต่ำสุด 0.78 บาท (4 ม.ค.64) ล่าสุดแสนสิริได้ออกประกาศรับ ‘หุ้นกู้แสนสิริ i-EASY’ ในการซื้อบ้าน คอนโด ทาวน์โฮม ในโครงการแทนเงินสดได้ทุกโครงการ แถมยังได้ดอกเบี้ยลงทุน 3% ต่อปีจากหุ้นกู้แสนสิริ i-EASY ต่อเนื่องจนครบกำหนดชำระ โดยไม่เสียประโยชน์การลงทุน
6.SC (บมจ.เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น) มาร์เกตแคป 14,827 ล้านบาท ค่า P/E 7.14 เท่า, P/BV 0.78 เท่า, Yield 5.08% และผลตอบแทนราคา YTD +27.34% ราคาล่าสุด 3.54 บาท เหลืออัพไซด์ 10.17% จากราคาเป้าหมาย 3.90 บาท
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 3.70 บาท (26 ต.ค.64) และราคาต่ำสุด 2.66 บาท (28 ม.ค.64) โดย 4 ผูู้ถือหุ้นใหญ่สุด เป็นคนในครอบครัว ทักษิณ ชินวัตร คือ 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร 29.04% 2.น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ 28.10% 3.นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ 4.81% และ4.คุณหญิง พจมาน ดามาพงศ์ 2.80%
7.AYUD (บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา แคปปิตอล) มาร์เกตแคป 14,889 ล้านบาท ค่า P/E 4.47 เท่า, P/BV 7.49 เท่า, Yield 3.97% และผลตอบแทนราคา YTD +13.33% ราคาล่าสุด 38.25 บาท ไม่มีราคาเป้าหมาย
ในปี 64 เคยทำราคาสูงสุด 40.00 บาท (18 ต.ค.64) และราคาต่ำสุด 31.00 บาท (3 ก.พ.64) โดยมีนายใหญ่ช่อง 7 นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ถือในลำดับ 6ถือ 3.82%
อย่างไรก็ตาม ใน 7 หลักทรัพย์มีหุ้นอสังหาฯ ติดอันดับถึง 4 หลักทรัพย์ ซึ่ง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนคนดังเคยเขียนถึง หุ้นอสังหาฯ ไว้ว่าซื้อแล้วก็เก็บรอให้ราคาปรับตัวขึ้นไปจนถึงพื้นฐานที่ควรจะเป็น แต่ถ้าราคาไม่ปรับตัวขึ้นไปเร็วอย่างที่คิด ก็ยังสามารถเก็บกินปันผลปีละประมาณ 5% ไปได้เรื่อย ๆ ซึ่งก็คุ้มค่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับการฝากเงินที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 1% หรือการลงทุนในหุ้นกู้ที่ปลอดภัยที่ให้ผลตอบแทนไม่เกิน 3%