xs
xsm
sm
md
lg

ความเสี่ยงของวงการคริปโตที่อาจจะเกิดขึ้นในปีหน้า / กวิน พงษ์พันธ์เดชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ใกล้จะสิ้นปี 2564 เข้าไปทุกที ปีนี้ยังคงเป็นปีที่ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลเติบโตได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นราคาเหรียญต่าง ๆ อย่าง Bitcoin ตลอดจนการเติบโตของวงการเกมส์ ที่มีการนำ NFT เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์แบบ รวมไปถึงวงการ Decentralized Finance ที่มูลค่าเงินที่ล็อกไว้ในโปรโตคอลต่างๆ ต่างทำจุดสูงสุดใหม่

แต่ในภาพรวมของการเติบโตก็ยังคงมีความเสี่ยงรออยู่ด้วยเช่นกัน บางประเด็นก็เป็นข้อกังวลใหม่ที่แอบซ่อนอยู่ บางประเด็นก็เป็นสิ่งที่หลายคนก็จับตาอยู่ ว่ามีโอกาสที่จะเกิดแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไร

ประเด็นแรกคือ Regalatary Risk หรือความเสี่ยงในด้านของการกำกับดูแลจากหน่วยงานรัฐบาล จากการที่ผมได้พูดคุยกับคนในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศ ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารัฐบาลของตัวเองต่างตื่นตัวขึ้นมากับการเติบโตของสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ยังไม่รู้ว่าจะเข้ามาจัดการตรงนี้อย่างไร ทำให้พวกเขาต้องมาดูต้นแบบในประเทศไทยเช่นกัน เพราะเรามีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นที่แรก ๆ

ทำให้เราได้เริ่มเห็นการปรับตัวของผู้ประกอบธุรกิจนี้ โดยเฉพาะ Exchange ผู้ที่เริ่มธุรกิจนี้มาก่อนที่จะเกิดกฎหมายกำกับดูแล จึงเป็นการยากที่พวกเขาจะกลับเข้ามาอยู่ภายในการกำกับดูแล เพราะมีประเด็นในเรื่องของการเก็บข้อมูลในอดีตรวมอยู่ด้วย เราจึงได้เห็น Exchange เริ่มมีการย้ายถิ่นฐานของสำนักงานใหญ่ อย่างเช่น FTX หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่ของโลก ได้ย้ายที่ตั้งสำนักงานจากฮ่องกงไปยังบาฮามาส

แม้ว่าจะมีแนวโน้มที่เม็ดเงินลงทุนจากกลุ่มสถาบันจะเริ่มเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ก็ยังมีความเชื่อว่าผู้ประกอบธุรกิจน่าจะยังหลีกเลี่ยงการควบคุมจากภาครัฐต่อไป เพราะด้วยหลักการสำคัญของคริปโต ที่จะต้องไม่มีการควบคุมแบบรวมศูนย์ ทำให้แนวทางนี้ยังต้องดำเนินต่อไป ซึ่งถือเป็นเรื่องดีที่คนในวงการคริปโตล้วนแล้วอายุยังไม่เยอะมาก เฉลี่ยอยู่ที่ 24-25 ปี ไม่เกิน 30 ปี ยังพอที่จะปรับตัวได้ทันต่อการเข้ามาควบคุมกำกับดูแลจากภาครัฐ

ถึงแม้ว่าจะมีความเป็นไปได้ที่ในปีหน้าเราจะได้เห็น CBDC หรือสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้มาเกี่ยวข้องอะไรกับตลาดคริปโตมากนัก เพราะถึงแม้จะเป็นสกุลเงินในรูปแบบดิจิทัล แต่รัฐบาลก็ยังเป็นเจ้าของอยู่ดี

ส่วนอีกประเด็นที่ต้องจับตาคือการเติบโตของ NFT และ DeFi ว่าจะมีความแข็งแรงและยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน แม้ว่าภาพรวมเราจะเห็นผู้เล่นหน้าใหม่หลั่งไหลเข้ามาใน Blockchain Games, DeFi Protocol และงานศิลปะบน NFT จำนวนมาก แต่ในส่วนของเม็ดเงินจะยังเข้ามาอย่างต่อเนื่องด้วยหรือไม่นั้นยังคงต้องติดตามต่อไป อย่างเช่นเกมส์ Axie Infinity ที่ล่าสุดมีจำนวนผู้เล่นต่อวันกว่า 1.6 ล้านคน แต่ขณะเดียวกันแนวโน้มรายได้ที่เกิดขึ้นจากในเกมส์ก็เริ่มลดลง

รวมถึงมูลค่าเหรียญที่ล็อกไว้ใน DeFi Protocol แม้จะเราจะได้เห็นการสร้างสถิติใหม่ แต่ก็ไม่ได้เกิดจากการวาง Stablecoins เพื่อที่จะทำธุรกรรม แต่มาจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าเหรียญ Altcoin ที่นำมาลงทุนทำให้ตลาดในภาพรวมโตขึ้น

แต่ถ้าตลาดคริปโตเกิดปรับตัวลง ราคาเหรียญต่าง ๆ ก็จะลดลงตามไปด้วย ทำให้ต้องมาดูกันว่า TVL หรือ Total Value Lock ในตลาด DeFi จะยังคงเติบโตได้อีกหรือไม่

เราสามารถอธิบายตลาดคริปโตโดยใช้ทฤษฎีสะท้อนกลับ (Reflexivity) ของ George Soros ได้ว่า เมื่อไรที่ราคาปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงก็จะดึงดูดคนให้เข้ามาลงทุนเพิ่ม แต่ถ้าเมื่อไรที่ราคาลดลงผู้คนก็จะหายไปจากตลาดด้วยเช่นกัน เราจึงยังต้องจับตาดูว่าถ้าตลาดเริ่มจะไม่เติบโต จะยังมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาลงทุนในคริปโตอย่างต่อเนื่องอีกหรือไม่

ถึงอย่างไรก็ตามวงการบล็อกเชนและคริปโตเดินทางมาไกลเกินกว่าจะเดินย้อนกลับแล้ว ทำให้เรายังสามารถเชื่อได้ว่า ภาพรวมตลาดในปีหน้ายังมีสิ่งใหม่ ๆ ที่รอจะเกิดขึ้นอีกมากมายครับ

บทความโดย กวิน พงษ์พันธ์เดชา ซีอีโอ Bitazza โบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตจากกระทรวงการคลัง และ ก.ล.ต.




กำลังโหลดความคิดเห็น