โรงงานเภสัชอุตสาหกรรมฯ ปิดเทรดวันแรกที่ 10.30 บาท เพิ่มขึ้น +3.30 บาท หรือ +47.14% จากราคาไอพีโอที่กำหนดไว้หุ้นละ 7 บาท ผู้บริหารปลื้มเตรียมนำเงินไปใช้ตามแผน ที่ปรึกษาการเงินเผยผู้บริหาร JP มีประสบการณ์และไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่จะสร้างโอกาสการขยายตัวด้านผลการดำเนินงานที่ดีต่อไปในอนาคต
หุ้น JP หรือ บมจ.โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) เข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในวันนี้เป็นวันแรก และเมื่อเปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 9.40 บาท เพิ่มขึ้น 2.40 บาท หรือ 34.29% จากราคาจองไอพีโอที่หุ้นละ 7 บาท และปิดเช้าที่ 9.75 บาท เพิ่มขึ้น 2.75 บาท หรือ 39.29% ระหว่างวันระหว่างวันราคาปรับขึ้นไปสูงสุดที่ 12.10 บาท ต่ำสุดที่ 8.65 บาท เมื่อปิดตลาดราคาหุ้นอยู่ที่ 10.30 บาท เพิ่มขึ้น +3.30 บาท หรือ +47.14% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 6,880.90 ล้านบาท
นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JP เปิดเผยว่า บริษัทได้นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ในวันนี้เป็นวันแรก ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งเป็นก้าวที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านการวิจัย ผลิต จำหน่ายยาและอาหารเสริมครบวงจรในประเทศไทย และบริษัทมีแผนดำเนินงานมุ่งสร้างโอกาสเติบโตในอนาคตด้วยการขับเคลื่อนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ยาแผนปัจจุบัน แผนโบราณผลิตภัณฑ์สมุนไพรและผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีคุณภาพ ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทั้งในเชิงดูแล ป้องกันและรักษาโรค เพื่อรองรับประเทศไทยก้าวสู่สังคมแห่งการดูแลสุขภาพ
หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทจะนำเงินจากเสนอขายหุ้น IPO มาพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพภายใต้ Own Brand พร้อมเดินหน้าแผนการออกสินค้าเพิ่มปีละ 4-5 รายการ ควบคู่ไปกับแผนการตลาดที่จะขยายช่องทางการจัดจำหน่ายหลากหลายช่องทางมากขึ้น (Multi -ChannelMarketing) ทั้งร้านขายยาทั่วไป ร้านค้าปลีกสมัยใหม่ ร้านสะดวกซื้อ ทีวีโฮมช้อปปิ้ง และช่องทางออนไลน์ (Online Channel) เพื่อผลักดันผลิตภัณฑ์ Own Brand ให้มีสัดส่วนการขายเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการเพิ่มอัตราการทำกำไรขั้นต้นในอนาคตให้อยู่ในเกณฑ์ที่สูงขึ้น
นายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า JP มีศักยภาพการเติบโตที่ดีท่ามกลางปัจจัยบวกจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมยาแผนปัจจุบันและผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพร จากการที่ผู้บริโภคใส่ใจในสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและส่งเสริมให้ประชาชนหันมาบริโภคผลิตภัณฑ์ยาที่ผลิตภายในประเทศสูงขึ้น อีกทั้งบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานและมีจุดแข็งด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาหลากหลายรูปแบบ ประกอบกับมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์และไม่หยุดนิ่งที่จะแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งจะเป็นข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่จะสร้างโอกาสการขยายตัวด้านผลการดำเนินงานที่ดีต่อไปในอนาคต
บล.โกลเบล็ก ระบุว่า JP ประกอบธุรกิจ พัฒนา ผลิตและจำหน่ายยาแผนปัจจุบัน ยาแผนโบราณ ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เวชภัณฑ์และแอลกอฮอล์ทำความสะอาด ภายใต้เครื่องหมายการค้าของลูกค้า และเครื่องหมายการค้าของบริษัทโครงสร้างรายได้ในปี 63 ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 54% ยาแผนปัจจุบัน 18% ยาแผนโบราณและผลิตภัณฑ์สมุนไพร 3% ผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ 19% และผลิตภัณฑ์อื่นๆ 5%ในปี 61-63 บริษัทมีรายได้รวม 352 ล้านบาท 366 ล้านบาท 463 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็น CAGR +14.7% ต่อปี โดยปี 63 รายได้ +26.5% เทียบปีก่อน จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์แอลกอฮอล์ ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิในปี 61-63 ที่ 12.39 ลบ.23.57 ล้านบาท 31.08 ล้านบาท ตามลำดับ
ทั้งนี้ JP เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 115 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.27% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทที่ราคา IPO 7 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย 805 ล้านบาท เพื่อนำเงินลงทุนในการปรับปรุงและขยายโรงงานกรุงเทพฯ และโรงงานลำพูน 298 ล้านบาท เป็นเงินลงทุนในการพัฒนานำเสนอ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ตราสินค้า 200 ล้านบาท เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน