รมว.คลัง ชี้รัฐออกนโยบายทั้งระยะสั้น-ยาว ดูแลผลกระทบโควิด-19 พร้อมเปิด 5 แนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ คาดปี 65 จีดีพีโตสูงสุด 5% เผย 4 เรื่องมุ่งผลักดันหลังโควิด-19 จบ
วันนี้ (21 ต.ค.) นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวในการประชุม The Committee on Macroeconomic Policy, Poverty Reduction and Financing for Development ครั้งที่ 3 จัดโดยคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติสำหรับเอเชียและแปซิฟิก (เอสแคป) โดยระบุว่า กระทรวงการคลังมีการดำเนินงานเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนและพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง
ผ่านการดำเนินนโยบายการคลังทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤตที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด และเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2563
โดยแนวโน้มของเศรษฐกิจในช่วงนี้ ทางรัฐบาลคาดว่าภายในสิ้นปี 2564 นี้ ประเทศไทยจะสามารถเห็นการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เป็นบวกได้ โดยภาคการส่งออกสินค้าจะเป็นกุญแจขับเคลื่อนที่สำคัญ สำหรับในปี 2565 เศรษฐกิจไทยคาดว่าจะฟื้นตัวและกลับมาขยายตัวได้แข็งแกร่งกว่าเดิม โดยขยายตัวในช่วง 4-5% และได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่คลี่คลายลง
นายอาคม กล่าวว่า การจัดการสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต้องควบคู่กับการวางรากฐานสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทย เพราะในอนาคตไวรัสโควิด-19 จะกลายเป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) และผู้คนต้องเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตร่วมกันในรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) เชื้อไวรัสอาจไม่ถูกกำจัดไปแต่สุดท้ายจะสามารถควบคุมได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงมุ่งเน้น 5 แนวทางหลักเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทย ดังนี้
1.นโยบายทางการเงินเพื่อเยียวยาและสนับสนุนผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อให้สามารถฟื้นตัวอย่างมั่นคง เช่น มาตรการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ
2.การบริหารเศรษฐกิจระดับมหภาค โดยรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและการคลัง การบริหารระดับหนี้สาธารณะ ตลอดจนถึงการปรับปรุงระบบการเก็บภาษี และการดูแลเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
3.การลดความยากจนและความเหลื่อมล้ำ โดยการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่คำนึงถึงการปรับปรุงระบบสวัสดิการ คุณภาพชีวิตของผู้คน และการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค
4.การสร้างโครงข่ายความปลอดภัยทางสังคมที่มั่นคง โดยประชาชนทุกคนจะต้องได้รับการคุ้มครองดูแลจากภาครัฐอย่างทั่วถึง ทั้งแบบสมัครใจและมีส่วนร่วม เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญราชการ และกองทุนการออมแห่งชาติ
5.รัฐบาลได้วางแผนที่จะเปิดประเทศแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ดังที่ท่านนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ประเทศไทยจะอนุญาตให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ได้รับวัคซีนครบโดสแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยทางอากาศได้โดยไม่ต้องกักตัว โดยต้องมาจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำ และนักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวต้องแสดงผลการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เป็นลบ โดยต้องทำการตรวจเชื้อก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และจะได้รับการตรวจอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงประเทศไทย
ทั้งนี้ ในส่วนของนโยบายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่ 4 แนวทาง ดังนี้
1.การส่งเสริม Bio-Circular-Green Economy model หรือ BCG model ซึ่งรูปแบบทางเศรษฐกิจดังกล่าวนี้จะให้ความสำคัญในการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างสินค้าที่มีมูลค่าสูง คำนึงถึงการนำวัสดุต่างๆ กลับมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และการพัฒนาเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งทางรัฐบาลได้มีการดำเนินมาตรการไปบ้างแล้ว
2.การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ โดยการเร่งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ พร้อมทั้งมุ่งเน้นการลงทุนใน 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และอุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร การลงทุนในโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) เพื่อเป็นเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจตัวใหม่ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาผลิตภาพทางการผลิตของประเทศ
3.การปรับเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล (Digitalization) เป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ทั้งภาคส่วนเอกชนและรัฐบาลต้องให้ความสำคัญในการนำเทคโนโลยีทางดิจิทัลมาปรับใช้ โดยทางรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนด้วยบริการยื่นแบบและชำระภาษีออนไลน์ และการทำธุรกรรมออนไลน์กับรัฐวิสาหกิจ เพื่อลดต้นทุนต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำธุรกรรมเงินสด
และ 4.รัฐบาลจะยังคงเดินหน้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขั้นสูงเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเน้นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในระบบขนส่งมวลชน และพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด รวมถึงสนับสนุนผู้ผลิตพลังงานรายย่อย และส่งเสริมการใช้พลังงานแสงอาทิตย์เพิ่มมากขึ้น
นอกเหนือจากนี้ นวัตกรรมการจัดหาเงินทุนก็เป็นสิ่งจำเป็น โดยอาจเริ่มจากการสนับสนุนให้เกิดการระดมทุนในโครงการหรือกิจกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งคณะที่ปรึกษาหารือด้านการจัดหาทุน (A consultative group in financing) อาจจะสามารถจะเป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพ