นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ตลท. เตรียมเปิดให้บริการ LiVE Exchange ภายในปี 64 หลังจากร่วมกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พัฒนากฎเกณฑ์รองรับการระดมทุนรองสำหรับ SMEs และ Startups เพื่อเพิ่มช่องทางการระดมทุนสำหรับผู้ประกอบการและเพิ่มทางเลือกการลงทุนให้ผู้ลงทุน ภายใต้แนวคิด Light-touch supervision โดยปรับกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องให้เหมาะสม เพื่อให้ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงแหล่งระดมเงินทุนผ่านกลไกตลาดทุน และเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ
นอกจากนี้ เพื่อให้ SMEs และ Startups มีความพร้อมในการเข้าสู่ตลาดทุน ตลท.จึงได้เปิดบริการ LiVE Platform โดยร่วมกับพันธมิตรทุกภาคส่วนกว่า 25 ราย พัฒนาองค์ความรู้ และบริการต่างๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ประกอบการ เช่น การเรียนรู้ผ่าน e-Learning บริการ Business Coaching เป็นต้น
รวมทั้งร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และเคพีเอ็มจี ประเทศไทย เพื่อช่วยเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของผู้ประกอบการ SMEs และ Startups ที่เป็นสมาชิก ส.อ.ท. อีกทั้งต่อยอดบริการบน LiVE Platform ให้ครอบคลุมความต้องการของผู้ประกอบการ SMEs / Startups ได้มากยิ่งขึ้น
ด้านนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธาน ส.อ.ท.เปิดเผยว่า การพัฒนา LiVE Exchange จะช่วยเปิดโอกาสให้สมาชิกที่มีศักยภาพและพร้อมที่จะขยายธุรกิจให้เติบโตมีแหล่งเงินทุนมารองรับ โดย ส.อ.ท.อยู่ระหว่างการจัดทำโครงการต่างๆ ร่วมกับ ตลท. และเคพีเอ็มจี ซึ่งจะมีการสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการ คาดว่าจะมีสมาชิกสนใจและพร้อมจะพัฒนาการเติบโตกว่า 100 บริษัท จากปัจจุบันที่ ส.อ.ท. มีสมาชิกอยู่ทั้งหมดกว่า 13,000 ราย ซึ่งมีผู้ประกอบการ SMEs รวมถึงกลุ่ม Startups ใหม่ๆ ที่เริ่มเข้ามาในเครือข่ายของ ส.อ.ท.มากขึ้น โดยมองว่าผู้ประกอบการที่อยู่ในกลุ่มเครื่องสำอาง และเฮลท์แคร์ มีโอกาสในการพัฒนาในการเติบโตภายใต้แนวทางดังกล่าวป็นกลุ่มแรกๆ
"การส่งเสริมสมาชิกให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนในรูปแบบต่างๆ เป็นภารกิจที่สำคัญที่ ส.อ.ท. ดำเนินการมาโดยตลอด สำหรับการระดมทุนในตลาดทุนเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สมาชิกให้ความสนใจ ซึ่งที่ผ่านมา การระดมทุนในตลาดทุนผ่าน SET และ mai ค่อนข้างยากสำหรับธุรกิจ SMEs และ Startups แต่ด้วยการพัฒนาตลาดหลักทรัพย์สำหรับ SMEs และ Startups หรือ LiVE Exchange จะช่วยทำให้ผู้ประกอบการ SMEs และ Startups สามารถเข้าถึงการระดมทุนได้ง่ายขึ้น เป็นเรื่องที่น่ายินดี" นายสุพันธุ์ กล่าว
ขณะที่นายเจริญ ผู้สัมฤทธิ์เลิศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเคพีเอ็มจี ประเทศไทย กล่าวว่า กลุ่มธุรกิจเหล่านี้มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เคพีเอ็มจี ประเทศไทย มีประสบการณ์ ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์ รวมทั้งการบริหารจัดการปัญหาและอุปสรรคของผู้ประกอบการทั้งในด้านการขยายธุรกิจและการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเป็นอย่างดี โดยเต่ละองค์กรต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ให้ครบถ้วนและวิเคราะห์เชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยด้านดำเนินธุรกิจ การเงิน การบัญชี ข้อบังคับทางกฎหมายและภาษี
เคพีเอ็มจี ประเทศไทย ในฐานะผู้ให้บริการด้านสอบบัญชี ภาษี กฎหมายและที่ปรึกษาธุรกิจ มีความพร้อม มีผู้เชี่ยวชาญ และมีเครือข่ายเข้าถึงความรู้ เทคโนโลยี และผู้เชี่ยวชาญจากทั่วโลก เราพร้อมที่จะสนับสนุนในการร่วมยกระดับกลุ่มธุรกิจ SMEs และกลุ่ม Startups โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจัดทำโปรแกรมบ่มเพาะที่ได้รวบรวมความรู้ที่จำเป็น และจัดทำเป็นหลักสูตรเฉพาะให้ SMEs และ Startups โดยเคพีเอ็มจี ประเทศไทย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าความร่วมมือครั้งสำคัญนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่งให้เศรษฐกิจไทยได้อย่างยั่งยืน