โบรกฯ มองแนวโน้มดัชนีเช้าปรับลงแต่ไม่มากตามต่างประเทศ บอนด์ยิลด์พุ่งจากวิตกเพดานหนี้สหรัฐฯ กระทบต่อต้นทุนการออกพันธบัตรใหม่ของกิจการที่จะสูงขึ้น
นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะปรับตัวลงแต่ไม่แรงมาก ตามตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่เช้านี้ส่วนใหญ่จะติดลบกัน โดยเฉพาะตลาดหุ้นเกาหลี และตลาดหุ้นญี่ปุ่น ที่เช้านี้เปิดเทรดมาติดลบราว 2% ตามตลาดยุโรป และตลาดสหรัฐฯ จากความกังวลสภาคองเกรสยังไม่สามารถที่จะบรรลุข้อตกลงในเรื่องเพดานหนี้ได้ ทางเอสแอนด์พี โกลบอล เรทติ้งส์ (S&P) เตือนว่า ตลาดการเงินอาจได้รับผลกระทบรุนแรงหากสหรัฐฯ ผิดนัดชำระหนี้ และอาจทำให้สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงสู่ระดับ D ซึ่งเป็นระดับต่ำสุด ซึ่งจะทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) อายุ 10 ปี ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น กระทบต่อต้นทุนการออกพันธบัตรใหม่ของกิจการที่จะสูงขึ้น
ทั้งนี้ วันนี้ Bond yield สหรัฐฯ ได้กลับมาปรับตัวขึ้นเป็น 1.47% ทำให้เกิดแรงขายหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีทั่วโลก แต่มองว่า Bond yield ที่ขึ้นเป็นผลดีต่อกลุ่มธนาคาร และตลาดบ้านเรายังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่ปรับขึ้น 2.3% สูงสุดในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่เดือนวันที่ 11 พ.ย.2557 หลังจากที่ผลประชุมกลุ่มโอเปกพลัสไดี้มีมติเพิ่มกำลังการผลิตแค่ 4 แสนบาร์เรลต่อวันตามที่คาดการณ์ไว้ น่าจะหนุนหุ้นในกลุ่มพลังงาน และกลุ่มโรงกลั่น
นอกจากนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 วันนี้ต่ำกว่าระดับหมื่นรายต่อวัน ซึ่งดีต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic play ที่จะมาช่วยค้ำดัชนีไว้ อีกทั้งเช้านี้เงินบาทอ่อนค่าจะน่าส่งผลดีต่อกลุ่มส่งออก แต่ไม่ดีต่อ Fund Flow เท่าไร
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามประเด็นเพดานหนี้ของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีเส้นตายในวันที่ 18 ต.ค.นี้ และติตามการทยอยประกาศผลประกอบการางวดไตรมาส 3/64 ที่จะออกมา หลังจากที่ AEONTS ประกาศออกมาแล้วต่ำกว่าที่ตลาดคาดไว้พอควร รวมถึงติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ต่อไป และมาตรการของภาครัฐที่จะออกมาด้วย รวมถึงตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ที่จะออกมาในวันศุกร์นี้
พร้อมให้แนวรับ 1,610-1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,620-1,624 จุด