นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 27 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในไตรมาสสุดท้ายของปี 64 โดยระบุว่า นักวิเคราะห์ลดสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 64 เฉลี่ยเหลือ 0.68% เทียบกับการสำรวจเมื่อกลางปีที่ 2.11% อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าปี 65 จะเติบโตที่ 3.67%
ขณะที่เพิ่มสมมติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 68.54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่ในครั้งก่อนใช้ตัวเลขเพียง 64.96 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล
ทิศทางการลงทุนในไตรมาส 4/64 จะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ แนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนในไทย มีผู้โหวตท่วมท้น 96% ตามมาด้วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก มีผู้โหวตสูงถึง 70%
ส่วนปัจจัยด้านลบมาจากท่าทีการเตรียมลดมาตรการ QE ทั่วโลก มีผู้โหวต 92% และตามติดมาด้วย ปัจจัยการเมืองในประเทศด้วยเสียงโหวต 85% แถมด้วยแนวโน้มการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ เร็วขึ้นกว่าคาดเดิม มีเสียงโหวต 63% ผลสรุปยังคาดว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดปีนี้และปีหน้า
ส่วนทางด้านผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนปี 64 เฉลี่ยที่ 82.08 บาท/หุ้น เป็นการเติบโต 69.50% จากปีก่อน และตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้สูงขึ้นกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 80.87 บาท/หุ้น ขณะที่ ข่าวดีอยู่ที่ปี 65 ที่นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียนจะเพิ่มเป็น 92.49 บาท/หุ้น เติบโต 12.73%
ทางด้านคาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาส 4/64 จะแกว่งตัวในกรอบ 1,565-1,675 จุด และคาดว่าจะปิดสิ้นปีที่ 1,648 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปี 65 จะปิดที่ 1,754 จุด
นักวิเคราะห์แนะนำให้กระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น
- เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 12.20%
- กองทุนตราสารหนี้ 16.80%
- หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 28.80%
- หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 25.88%
- กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 8.04%
- ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.96%
- อื่นๆ 2.32%
สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยในไตรมาส 4/64 แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจ พาณิชย์ ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ โรงแรมและท่องเที่ยว ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนในหมวดธุรกิจพลังงาน โรงพยาบาล และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยหุ้นเด่นที่แนะนำ คือ AOT BEM CPALL KBANK ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ หุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในปีก่อน
ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพเพื่อการเปิดเมือง การช่วยเหลือภาคธุรกิจการท่องเที่ยว และสนับสนุนการผู้ประกอบการรายย่อย SMEs การให้สินเชื่อพิเศษ นอกจากนั้น ควรมีนโยบายให้การช่วยเหลือประชาชน พร้อมเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายโดยให้สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ รวมทั้งการให้สิทธิภาษีสนับสนุนการลงทุนใน LTF