หุ้นเช้าปิดลบ 10.55 จุด ปรับตัวลงมากรับปัจจัยลบจาก Bond Yield พุ่งและดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า กังวลเฟดเปิดไทม์ไลน์ลด QE ส่งผล Fund Flow ชะลอลงทุนรอผลประชุมเฟดสัปดาห์หน้า ประกอบกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นอาจเป็นภาพการระบาดกลับมา แนวโน้มช่วงบ่ายคาดยังลบต่อเนื่อง ให้แนวรับที่ 1,617 จุด แนวต้านที่ 1,627 จุด
นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ปรับลงกว่า 10 จุด มาจากปัจจัยหลักกดดัน คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี (Bond Yield) พุ่งขึ้น และเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าจากความกังวลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในสัปดาห์หน้า (21-22 ก.ย.) อาจจะเปิดเผยช่วงเวลาปรับลดวงเงินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) และจำนวนวงเงิน ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (Fund Flow) ชะลอ โดยเงินบาทอ่อนค่ามากสุดในรอบ 1 ปี และรอติดตามสัญญาณของเฟดสัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศปรับตัวขึ้นมาระดับ 1.4 หมื่นรายจากที่เคยลงไปแตะ 1.1 หมื่นราย หลังคลายล็อกดาวน์มา 15 วัน ทำให้เกิดความกังวลการแพร่ระบาดโควิด-19
ส่วนกรณีไชน่า เอเวอร์แกรนด์ กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ของจีน ประกาศยอมรับว่าบริษัทกำลังเผชิญปัญหาสภาพคล่อง และอาจไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด อาจกระทบกองทุนรวมตราสารหนี้ที่ถือหุ้นกู้ของไชน่า เอเวอร์แกรนด์ฯ แต่อสังหาริมทรัพย์ไทยไม่กระทบเพราะไม่มีการร่วมลงทุนแต่อย่างใด
ด้านภาวะตลาดหุ้นไทยปิดการซื้อขายครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,621.15 จุด ลดลง 10.55 จุด หรือเปลี่ยนแปลง +0.65% มูลค่าการซื้อขายราว 52,432 ล้านบาท
สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นช่วงบ่าย นายศราวุธ คาดว่ายังเคลื่อนไหวในแดนลบต่อเนื่องจากช่วงเช้า ยกเว้นกลุ่มส่งออก กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับอานิสงส์เงินบาทอ่อนค่า โดยให้แนวรับที่ 1,617 จุด แนวต้านที่ 1,627 จุด