นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ศูนย์วิจัย ธนาคารกรุงไทย (Krungthai COMPASS) กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้และปีหน้ายังมีความไม่แน่นอนอยู่ โดย Krungthai COMPASS คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะเข้าสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ในปี 2566 ซึ่งขึ้นอยู่กับมาตรการสนับสนุนของภาครัฐในปีหน้า โดยทางศูนย์วิจัยคาดการณ์จีดีพีปีหน้าเติบโตที่ระดับ 3.9% ใกล้เคียงกับที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองไว้ที่ 3.7% ทั้งนี้ หากภาครัฐมีนโยบายสนับสนุนที่ดีและมีการควบคุมการระบาดได้จะทำให้อัตราการเติบโตของจีดีพีไปแตะที่ระดับ 6-8% ตามที่รัฐต้องการ ดังจะเห็นได้จากประเทศที่สามารถควบคุมการระบาดได้ เช่น สหรัฐฯ อังกฤษ จะมีอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในระดับใกล้เคียงกันนี้
สำหรับในการประชุมของ กนง.ในสัปดาห์หน้านั้น ศูนย์วิจัยฯ มองว่า มีความเป็นไปได้ที่ กนง.จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย หลังการประชุมครั้งก่อนมีคณะกรรมการบางส่วนเสนอให้ลดอัตราเอกเบี้ย ซึ่งขึ้นอยู่กับ กนง.ว่าจะส่งสัญญาณอย่างไรภายหลังจาการผ่อนคลายล็อกดาวน์ แต่โดย Base line แล้ว ศูนย์วิจัยฯ ยังคาดการณ์ กนง.คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนี้
"เราคงบอกไม่ได้ชัดเจนว่าภาครัฐจะต้องกู้เงินอีกจำนวนเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ ขึ้นอยู่กับว่าภาครัฐจะทำส่วนไหนตรงไหนบ้าง แต่เท่าที่มีการคาดการณ์กันมองว่า ณ ระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นอีก 10% จากปัจจุบันที่ระดับ 60% น่าจะเพียงพอ อย่างไรก็ตาม มาตรการที่จะออกมาควรจะมีการสนับสนุนในเรื่องของการปรับโครงสร้างเพื่อเพิ่มศักยภาพให้ภาคธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ยังมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องดังกล่าวไม่มาก รวมทั้งอาจจะขาดแคลนในด้านเงินทุนหลังจากสถานการณ์โควิด-19 ด้วย"
**แนะเร่งยกระดับประสิทธิภาพภาคอุตฯ ด้วย IIoT**
ทั้งนี้ ในการเพิ่มศักยภาพของผู้ประกอบการนั้น ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ระบุเทคโนโลยี Industrial Internet of Things (IIoT) เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์โลกที่กำลังมาแรง เนื่องจากตอบโจทย์แนวคิด Digital Lean Manufacturing ที่เน้นลดการสูญเปล่าในทุกขั้นตอนการผลิต อีกทั้งยังมีปัจจัยเร่งสำคัญจากวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ภาคอุตสาหกรรมต้องเพิ่มความยืดหยุ่นในการดำเนินงานเมื่อเผชิญกับภาวะการผลิตหยุดชะงัก (Supply chain disruption) แนวโน้มการเติบโตของเมกะเทรนด์ดังกล่าวสอดคล้องกับที่ McKinsey ประเมินว่า การลงทุนใน IIoT ทั่วโลกจะปรับตัวขึ้นเฉลี่ยปีละ 12% ในช่วงปี 2563-2568 ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาคอุตสาหกรรมโลกก้าวสู่ยุค Industry 4.0 อย่างเต็มตัว และมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จากการติดตามการทำงานของเครื่องจักรแบบ Real time ตลอดจนการวิเคราะห์คุณภาพและการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ซึ่งจะช่วยให้ค่าติดตั้ง ซ่อมแซม และบำรุงรักษาเครื่องจักร ที่กรณีของไทยมีมูลค่าถึง 2.06 แสนล้านบาทต่อปีลดลง
“เราเริ่มเห็นตัวอย่าง Use case การนำ IIoT มาใช้ในต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ และพิสูจน์แล้วว่า IIoT ช่วยลดต้นทุนการผลิตลงมากถึง 30% ภาคอุตสาหกรรมไทยจึงควรเร่งผนวก IIoT ในโรงงานการผลิตมากขึ้น เพื่อให้ก้าวทันกระแสโลกและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ประเทศ เนื่องจากปัจจุบันผู้ประกอบการไทยราว 60% ยังอยู่ในระดับ Industry 2.0 เท่านั้น ขณะที่มีหลายปัจจัยที่เอื้อต่อการใช้ IIoT เช่น ต้นทุน Sensor และ Data storage ที่ถูกลง การพัฒนา 5G ที่จะช่วยส่งผ่านข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ รวมถึงมาตรการส่งเสริม Industry 4.0 จากภาครัฐ”
นายณัฐพร ศรีทอง นักวิเคราะห์ กล่าวเสริมว่า อุตสาหกรรมที่อิงกับการส่งออก 8 กลุ่ม ซึ่งฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าและมีความพร้อมในการนำ IIoT มาประยุกต์ใช้ ได้แก่ อุตสาหกรรมผักผลไม้แปรรูป ไก่แปรรูป รถยนต์ เครื่องจักรกล ผลิตภัณฑ์ยาง อิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เม็ดและผลิตภัณฑ์พลาสติก และเคมีภัณฑ์ ซึ่งปัจจุบันอุตสาหกรรมเหล่านี้มีโรงงานรวมกันกว่า 17,290 แห่ง คิดเป็นราว 25% ของจำนวนโรงงานทั้งหมดในไทย และมีค่าใช้จ่ายในการดูแลเครื่องจักรมากถึง 1.12 แสนล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการศึกษาเทคโนโลยีและพิจารณา IIoT ที่เหมาะสม ซึ่งสามารถขอคำปรึกษาจากหน่วยงานภาครัฐ ตลอดจนเข้าร่วมโครงการต่างๆ เช่น โครงการ Industrial IoT and Data Analytics Platform (IDA) โดยความร่วมมือของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NETTEC) และพันธมิตร หรือสามารถติดต่อบริษัทให้บริการเชื่อมต่อระบบ (System integrator) ได้โดยตรง
“ภาครัฐควรพิจารณาจัดสรรเม็ดเงินเพื่อฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจจากวิกฤตโควิด-19 สู่มาตรการสนับสนุนภาคธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง SMEs เพื่อใช้ IIoT มากขึ้น เนื่องจากความท้าทายหลักที่ SMEs กำลังเผชิญ คือ เรื่องของเงินทุน นอกเหนือจากข้อจำกัดด้านความรู้และบุคลากร โดยการสนับสนุนอาจอยู่ในรูปแบบ “โครงการเงินทุนคนละครึ่ง (Cofinancing)” ด้วยเป้าหมายที่ครอบคลุม SMEs มากรายและใช้ Digital platform เป็นกลไกสำคัญในการดำเนินโครงการ โดยไม่จำเป็นต้องให้ SMEs สำรองจ่ายเงินไปก่อน เพื่อเป็นการช่วยเหลือด้านเงินทุนอย่างแท้จริง”