แม้ว่าปัจจุบัน คริปโทเคอร์เรนซีจะยังคงมีความผันผวนสูง เนื่องด้วยเป็นสินทรัพย์ใหม่ที่อาจยังมีมูลค่าไม่ชัดเจนเมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่น แต่ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกลับมีการเติบโตเป็นอย่างมาก ตามข่าวเชิงบวกและกระแสความต้องการลงทุนของนักลงทุนรายใหญ่ ทำให้คริปโทเคอร์เรนซีให้ผลตอบแทนสูง เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อื่นๆ ในช่วงเวลาเดียวกัน คริปโทเคอร์เรนซีจึงได้กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ในหมู่นักลงทุน
โดยเฉพาะนักลงทุนที่พยายามแสวงหาสินทรัพย์ใหม่ๆ เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search for Yield) จากภาวะอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ยังอยู่ในระดับต่ำ รวมถึงในกลุ่มนักลงทุนที่ชื่นชอบความเสี่ยงและต้องการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนไปยังสินทรัพย์ใหม่ๆ ท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ
ด้วยความน่าสนใจของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง ทำให้เป็นที่ดึงดูดกลุ่มนักลงทุนรายใหม่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับประเทศไทยก็เช่นกัน ได้มีนักลงทุนรายย่อยรายใหม่ๆ เข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในวงจำกัด โดยปัจจุบัน มีจำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยทั้งหมด 1,379,373 บัญชี 1 ซึ่งน้อยกว่าบัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ 2 ราว 2.1 เท่า แต่ก็มีอัตราการขยายตัวสูงอยู่ที่ร้อยละ 27.6 ต่อเดือน ขณะที่บัญชีซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์มีอัตราการเติบโตเพียงร้อยละ 2.9 ต่อเดือน3 สะท้อนให้เห็นถึงความนิยมลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทย
อย่างไรก็ดี เนื่องด้วยคริปโทเคอร์เรนซียังคงเป็นสินทรัพย์ใหม่และมีความผันผวนสูง จึงมีประเด็นคำถามที่ว่า แท้จริงแล้ว นักลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทยเหล่านั้น มีลักษณะหรือมีมุมมองในแง่ของการลงทุนเป็นแบบใด เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการดูแลและพัฒนาตลาดคริปโทเคอร์เรนซีของไทยต่อไป
ในช่วงที่ผ่านมา ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ดำเนินการสำรวจการลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีกับกลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ป ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มพนักงานบริษัทเอกชนที่มีรายได้สูง อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงน่าจะเป็นกลุ่มที่มีความเข้าใจด้านคริปโทเคอร์เรนซีสูง ขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสถานการณ์โควิด ทำให้มีจำนวนตัวอย่างที่จำกัด ดังนั้น จึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังในการตีความเชิงสถิติ เนื่องจากผลทางสถิติอาจจะเปลี่ยนแปลงตามขนาดของกลุ่มตัวอย่างได้
นอกจากนี้ ผลทางสถิติอาจไม่ได้สะท้อนถึงประชากรทั้งประเทศ อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจดังกล่าว ได้มีผลทางสถิติที่น่าสนใจหลายประการที่น่าจะสามารถบ่งชี้ลักษณะ มุมมองและความคาดหวังของนักลงทุนไทยในเบื้องต้นได้
ผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยชี้ว่า กลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปรู้จักคริปโทเคอร์เรนซีสูงถึงร้อยละ 69.4 มีคนสนใจลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีมากถึงร้อยละ 52.0 และลงทุนจริงในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ 24.3 ขณะที่กลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปที่ยังไม่ได้ลงทุนจริงในปัจจุบัน ก็มีความสนใจที่จะลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี
ในอีก 1 ปีข้างหน้าราวร้อยละ 42.0 ยิ่งเป็นการตอกย้ำภาพให้เห็นว่า จะมีนักลงทุนรายใหม่ ๆ เข้ามาในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทยอีกมากในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี กลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปส่วนใหญ่ยังคงมีความเข้าใจเกี่ยวกับสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีที่ค่อนข้างจำกัด โดยอาจเข้าใจว่าคริปโทเคอร์เรนซีเป็นเพียงระบบการให้บริการทางการเงิน หรือรู้จักคริปโทเคอร์เรนซีในนามของบิตคอยน์และมีไว้เพื่อการลงทุนหรือเก็งกำไรเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว คริปโทเคอร์เรนซีสามารถทำได้มากกว่านั้น อาทิ สามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ สิทธิประโยชน์ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ด้วยกัน
เมื่อเจาะเพิ่มเติมด้วยคำถามถึงวัตถุประสงค์การลงทุน ภาพรวมกลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปที่รู้จักคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ราวร้อยละ 26.6 คาดหวังว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะสามารถนำมาเก็งกำไรระยะสั้นได้ ซึ่งน่าจะสามารถบ่งชี้ในเบื้องต้นได้ว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีมุมมองต่อคริปโทเคอร์เรนซีในแง่ของสินทรัพย์ทางเลือกที่เน้นการเก็งกำไร และน่าจะมีการรับรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการลงทุน อันเนื่องมาจากความผันผวนของราคา สอดคล้องผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่ชี้ว่า นักลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีในกลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปกว่าร้อยละ 76.3 สามารถรับได้ หากเงินลงทุนจะหายไปมากกว่าร้อยละ 50 ภายใน 1 วัน ซึ่งสะท้อนความมั่นใจอีกมุมหนึ่งว่าราคาคริปโทเคอร์เรนซีจะสามารถผันตัวกลับมาได้โดยเร็ว ขณะเดียวกัน มีนักลงทุนบางส่วนที่คาดว่าคริปโทเคอร์เรนซีจะสามารถสร้างผลตอบแทนในระยะยาวได้ (ร้อยละ 18.6) หรือสามารถทดแทนการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินแบบดั้งเดิม อาทิ หุ้น ตราสารหนี้ (ร้อยละ 16.3) สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซีในอนาคต สอดคล้องกับผลการสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทยอีกด้านหนึ่งว่า กลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ราวร้อยละ 56.7 เปรียบการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีเหมือนเช่นเดียวกับการลงทุนในหุ้น
ส่วนเหตุผลส่วนหนึ่งที่นักลงทุนไทยเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี ก็เพราะมีความเชื่อมั่นว่าราคาจะขึ้นไปอีกเรื่อยๆ และคาดหวังที่จะได้ผลตอบแทนสูง (ร้อยละ 21.0) หรือเห็นเพื่อนหรือคนรอบข้างลงทุนและได้ผลตอบแทนสูง (ร้อยละ 11.5) หรือเพื่อนหรือคนรอบข้างชักชวนลงทุน (ร้อยละ 9.0) ซึ่งจากเหตุผลต่างๆ ดังกล่าว สะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจจะเกิดความเสียหายจากการลงทุนในตลาดสูง เนื่องจากความไม่เข้าใจในทิศทางตลาดที่อยู่ในภาวะความผันผวนสูง และอาจเป็นเป้าหมายต่อการถูกชักชวนให้เข้าร่วมลงทุนแบบผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ดี นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ใช้เงินลงทุนจริงในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีไม่มาก โดยจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า กลุ่มตัวอย่างโฟกัสกรุ๊ปที่ลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีส่วนใหญ่ราวร้อยละ 48.5 ใช้เงินลงทุนในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินออม นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีที่จะป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีได้ในระดับหนึ่ง หากตลาดเกิดความผันผวนรุนแรงในช่วงระยะเวลาสั้นๆ
โดยสรุป ท่ามกลางความนิยมในการลงทุนตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในไทย ภายใต้มุมมองของนักลงทุนไทยที่ส่วนใหญ่ค่อนข้างเข้าใจในภาวะเสี่ยงจากการลงทุนในตลาด ขณะเดียวกัน ก็มีนักลงทุนบางส่วนที่อาจจะยังไม่เข้าใจถึงสภาวะเสี่ยงนั้น ขณะที่มีความคาดหวังและมีความเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบแทนในระดับสูงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การจะลดความเสี่ยงจากภาวะความผันผวนในตลาด หรือสร้างโอกาสจากการลงทุนในคริปโทเคอร์เรนซีจำเป็นต้องอาศัยทักษะความรู้ทางการเงินและความรู้เท่าทันต่อเทคโนโลยีดิจิทัลด้วย นับว่าเป็นโจทย์สำคัญต่อทั้งกลุ่มนักลงทุนและทางการ โดยนักลงทุนที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีก็ควรต้องเร่งเสริมสร้างทักษะความรู้และความเข้าใจในเรื่องสกุลเงินดิจิทัลอย่างคริปโทเคอร์เรนซีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะเทรนด์เทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่มีสกุลเงินคริปโทเคอร์เรนซีใหม่ๆ เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนทางการก็อาจต้องเพิ่มแหล่งการเรียนรู้ที่จะเป็นสื่อกลางในการให้ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องต่อนักลงทุนกลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น เพื่อลดความสูญเสียอันจะเกิดกับนักลงทุนในตลาด โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือนักลงทุนมือใหม่ที่มุ่งหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในระดับสูง ท่ามกลางอัตราผลดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนในตลาดตราสารหนี้ที่จะยังอยู่ในระดับต่ำอย่างน้อยในอีก 1-2 ปีข้างหน้าตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบาย นอกจากนี้ ความรู้ความเข้าใจในสินทรัพย์ดิจิทัล ควบคู่กับความรู้ทางการเงินที่ดีขึ้น ยังน่าจะช่วยปูทางไปสู่การใช้เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางและนวัตกรรมทางการเงินที่จะตามมาอีกมากในอนาคตด้วย