xs
xsm
sm
md
lg

BBIK เคาะราคา IPO ที่ 18 บาท/หุ้น จองซื้อ 8-10 ก.ย.เทรด mai กลาง ก.ย.64

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นายพายุพัด มหาผล กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายของ บมจ.บลูบิค กรุ๊ป (BBIK) เปิดเผยว่า BBIK กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ 18 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อในวันที่ 8-10 ก.ย.64 และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) กลางเดือน ก.ย.นี้

BBIK จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 25 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้ โดยคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจที่ปรึกษาด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในประเทศไทย มีคณะผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ มีบริการที่ปรึกษาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่หลากหลาย สามารถตอบสนองลูกค้าองค์กรที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า BBIK เป็นหุ้น IPO ที่ดำเนินธุรกิจคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันตัวแรกในประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพเติบโตไปพร้อมกับเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และจะได้รับประโยชน์จากความต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันของลูกค้าองค์กรซึ่งเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก จึงได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าองค์กรชั้นนำในภาคธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานที่เติบโตก้าวกระโดด

การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai จะเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีวัตถุประสงค์ของการระดมทุนเพื่อขยายทีมงานและเสริมสร้างศักยภาพบุคลากร พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีดิจิทัล พัฒนาและปรับปรุงซอฟต์แวร์เพื่อใช้งานในองค์กร ขยายพื้นที่สำนักงาน ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกลุ่มบริษัทฯ

นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BBIK กล่าวว่า บริษัทมีเป้าหมายก้าวสู่บริษัทคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันชั้นนำแบบครบวงจร โดยนำประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของคณะผู้บริหารและบุคลากรที่เคยร่วมงานในบริษัทคอนซัลต์ชั้นนำระดับโลก เพื่อให้คำปรึกษาด้านนวัตกรรม เทคโนโลยี และวางกลยุทธ์ เพื่อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตให้แก่องค์กรแบบไร้ขีดจำกัดและปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานสู่ดิจิทัล

ปัจจุบันมีลูกค้าองค์กรที่เป็นบริษัทชั้นนำจากภาคธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจการเงิน ประกันภัย ค้าปลีก และโทรคมนาคม ใช้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยมี 5 บริการหลัก ได้แก่ 1.บริการให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) 2.บริการที่ปรึกษาการบริหารจัดการโครงการเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic PMO) 3.บริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) 4.บริการที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (Big Data & Advanced Analytics) และ 5.บริการด้านทรัพยากรบุคคลชั่วคราวที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที (IT Staff Augmentation)

บริษัทวางแผนขยายธุรกิจด้านต่างๆ เพื่อการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1.การเพิ่มบุคลากรและพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยี ตลอดจนวางแผนพัฒนาศูนย์การพัฒนาทักษะ (Learning Academy Center) 2.พัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีและดิจิทัลเพื่อให้บริการซอฟต์แวร์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Software as a Service หรือ SaaS) รวมถึงจัดตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Research and Development Center) 3.เสริมศักยภาพการบริหารจัดการภายใน ผ่านการยกระดับระบบซอฟต์แวร์เพื่อรองรับการเติบโตขององค์กร 4.ขยายพื้นที่สำนักงานรองรับการเพิ่มบุคลากร 5.ลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องและมีศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตและรับมือความผันผวนของตลาด และ 6.เสริมศักยภาพด้านเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน

นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมมือกับ บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก (OR) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ บริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) โดย OR ถือหุ้นผ่าน Modulus ที่เป็นบริษัทย่อย 40% และบริษัทถือหุ้น 60% เพื่อเติมเต็มนวัตกรรมและศักยภาพด้านดิจิทัลสู่การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า โดยเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนดังกล่าวเป็น 50 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม สู่การเพิ่มมูลค่าและสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงยกระดับ OR เป็นผู้นำด้านดิจิทัลในอุตสาหกรรมค้าปลีก ซึ่งคาดว่าบริษัทฯ จะเริ่มรับรู้รายได้จาก ORBIT ตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป

ขณะที่ผลการดำเนินงานของบริษัทในปี 61-63 มีรายได้จากการขายและบริการ 132.76 ล้านบาท 184.94 ล้านบาท และ 200.53 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 22.90% และมีกำไรสุทธิ 19.22 ล้านบาท 31.71 ล้านบาท และ 44.29 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 51.8%

ส่วนผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปีนี้ มีรายได้จากการขายและบริการ 126.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.47% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิ 30.06 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราส่วนกำไรสุทธิที่ 23.67% จากรายได้ธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี ธุรกิจบริการที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ และธุรกิจที่ปรึกษาด้านการจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่มขึ้น


กำลังโหลดความคิดเห็น