xs
xsm
sm
md
lg

SCB CIO ชี้ช่องลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำอีก 1-2 ปี แนะกระจายพอร์ตสร้างผลตอบแทนเพิ่ม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



SCB CIO ชี้ภาวะดอกเบี้ยต่ำ (ultra-low yields) จะยังอยู่ต่ออีก 1-2 ปี แม้ Fed จะเริ่มทำ QE tapering ภายในปีนี้ ส่วนประเทศไทยในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ปริมาณเงินฝากในระบบปรับตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยกว่า 91% มาจากบัญชีเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ภาคครัวเรือนและธุรกิจพักเงินไว้ในสินทรัพย์ที่ปลอดภัย แนะลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงและระยะเวลาที่ต้องการใช้เงิน โดยการลงทุนมีทางเลือกที่หลากหลาย เช่น กองทุนตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ภาครัฐ และเอกชนในประเทศ รวมถึงหุ้นกู้อนุพันธ์แฝง ที่มีการจำกัดความเสี่ยงขาลง เพื่อเพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก และไม่เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย

นายกำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่าย SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปริมาณเงินฝากในหลายประเทศรวมถึงในไทยเพิ่มขึ้นมากในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยในไทยปริมาณเงินฝากที่เพิ่มขึ้นกว่า 91% มาจากบัญชีที่มียอดเงินฝากมากกว่า 1 ล้านบาท ขณะที่เงินออมส่วนเกินทั่วโลกได้ทยอยปรับเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2Q2020 ถึง 1Q2021 นำโดยกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ และ กลุ่มยูโรโซน ซึ่งเป็นผลจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1) การใช้มาตรการควบคุมการระบาดในแต่ละประเทศ เช่น การออกข้อจำกัดในการเดินทาง ส่งผลกดดันการใช้จ่ายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจ 2) สถานการณ์การระบาดที่ไม่แน่นอน และการเพิ่มขึ้นของอัตราการเข้ารักษาโรงพยาบาล ทำให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่าย และมีการกันเงินออมฉุกเฉินมากขึ้น ส่วนบริษัทต้องกันสภาพคล่องเพื่อรองรับกับความไม่แน่นอนเช่นกัน และ 3) มาตรการเยียวยาจากทางการในแต่ละประเทศ โดยเงินออมส่วนเกินทั่วโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในรูปสินทรัพย์สภาพคล่องสูง ซึ่งรวมถึงเงินฝาก สำหรับประเทศไทย นับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด-19 ในช่วงเดือน ก.พ.2020 ถึง มิ.ย.2021 ปริมาณเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นมากถึง 1.6 ล้านล้านบาท โดยกว่า 91% มาจากจำนวนเงินฝากในบัญชีขนาดใหญ่มากกว่า 1 ล้านบาทขึ้นไป

ขณะที่ภาวะดอกเบี้ยต่ำ (ultra-low yields) จะอยู่ไปอีก 1-2 ปี ในช่วงวิกฤต COVID-19 ธนาคารกลางหลักแห่งต่างๆ ได้ดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงิน และปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน อัตราผลตอบแทนพันบัตร และตราสารหนี้ภาคเอกชน ของหลายประเทศปรับลดลงอยู่ในระดับต่ำและมีแนวโน้มปรับขึ้นอย่างช้าๆ ตามทิศทางนโยบายดอกเบี้ย ส่งผลให้ภาวะดอกเบี้ยต่ำ (ultra-low yields) จะยังอยู่ไปอีก 1-2 ปี ตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่แม้จะส่งสัญญาณการทำ QE tapering ในปีนี้ แต่การปรับขึ้นดอกเบี้ยน่าจะเกิดขึ้นในปี 2023

สำหรับทางเลือกของผู้มีเงินฝาก SCB CIO มองว่าตลาดการเงินมีทางเลือกหลากหลายที่จะสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงและช่วยให้ผู้ฝากเงินสามารถวางแผนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนบางส่วนให้เม็ดเงินฝากได้ ผลิตภัณฑ์เงินฝากเดิมทั้งเงินฝากกระแสรายวัน เงินฝากออมทรัพย์ เงินฝากประจำ บัตรเงินฝาก รวมถึงใบรับฝากเงิน แม้จำนวนเงินสูงสุดที่ได้รับความคุ้มครองจะลดลง แต่ผลิตภัณฑ์เงินฝากเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผู้ที่รับความเสี่ยงได้ต่ำ และไม่สามารถยอมรับความเสี่ยงของความผันผวนของราคาสินทรัพย์ได้ แลกกับผลตอบแทนที่ค่อนข้างต่ำ โดยการกระจายเงินฝากไปยังสถาบันการเงินหลายแห่งที่อยู่ในความคุ้มครอง และไม่กระจุกฝากเงินไว้เพียงสถาบันการเงินเดียว เป็นทางเลือกที่ง่ายที่สุด

ส่วนผู้ฝากเงินที่สามารถรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ ตลาดตราสารหนี้ภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงการลงทุนในผลิตภัณฑ์กองทุนรวมตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เป็นอีกหนึ่งในทางเลือกที่มีความน่าสนใจ โดยพิจารณาแบ่งเงินลงทุนบางส่วนลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ซึ่งค่อนข้างมีความปลอดภัยสูง เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรธนาคารแห่งประเทศ และหากผู้ฝากเงินเข้าใจความเสี่ยงรายบริษัทเป็นอย่างดี อาจพิจารณาเลือกลงทุนในตราสารหนี้ภาคเอกชน หรือหุ้นกู้บริษัทมหาชนชั้นนำ ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตตามความเสี่ยงที่เหมาะสมกับผู้ลงทุนได้ โดยจากข้อมูลของสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (Thai BMA) ยังบ่งชี้ว่าตลาดตราสารหนี้ไทยยังมีเสถียรภาพแข็งแกร่ง แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในช่วงไตรมาส 2 แต่มูลค่าคงค้างตลาดตราสารหนี้ไทยยังขยายตัวที่ 2% ในช่วงครึ่งปีแรก เมื่อเทียบกับสิ้นปี 2020 ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติกลับเข้าซื้อสุทธิตราสารหนี้ไทยตั้งแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา และจากข้อมูลของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) บ่งชี้ว่ากองทุนรวมตราสารหนี้ เป็นกองทุนที่มีมูลค่าสินทรัพย์รวม และมีสัดส่วนในตลาดกองทุนรวมสูงที่สุด สะท้อนการเติบโตทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทานของกองทุนรวมตราสารหนี้ทั้งประเภทตราสารหนี้ระยะสั้นและระยาว

นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินประเภท Structured Product หรือหุ้นกู้ที่มีอนุพันธ์แฝงที่มีการจำกัดความเสี่ยงขาลงไว้ เช่น Principal-Protected Product สามารถเป็นอีกทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนพร้อมมีการกำหนดรูปแบบการคุ้มครองเงินต้นได้ อีกทั้งผู้ฝากเงินหรือผู้ลงทุนยังสามารถเลือกกระจายเงินลงทุนไปยังตราสารหนี้ต่างประเทศ ตราสารทุนทั้งในและต่างประเทศได้ ซึ่งทางเลือกในการลงทุนเพิ่มเติมเหล่านี้ SCB CIO มองว่า เป็นกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับผู้ฝากเงินหรือผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ เนื่องจาก ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเงินฝากและตราสารหนี้ทั่วไปในภาวะดอกเบี้ยต่ำ โดยเฉพาะกับผู้ลงทุนรายใหญ่ (HNW) และผู้ลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UHNW) อย่างไรก็ดี ทางเลือกในการลงทุนตราสารทางการเงินเหล่านี้แม้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น แต่มีความซับซ้อนและมีความเสี่ยงที่สูงกว่าผลิตภัณฑ์เงินฝากทั่วไป ดังนั้น ผู้ฝากเงินและผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจถึงคุณลักษณะและความเสี่ยงของตราสารทางการเงินนั้นๆ ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ


กำลังโหลดความคิดเห็น