xs
xsm
sm
md
lg

FPI ไตรมาส 2/64 งบสุดสวยพุ่ง 1,335.9% ครึ่งปีแรกพลิกมีกำไร 118.4 ล้านบาท

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



FPI เข้าสู่โหมดการเติบโตรอบใหม่ กวาดรายได้กว่า 551.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.3% ส่วนกำไรทะลัก 61.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,335.9% จากปีก่อน ส่วนครึ่งปีแรกพลิกมีกำไรสุทธิ 118.4 ล้านบาท เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 37.1 ล้านบาท รับอานิสงส์เศรษฐกิจโลกฟื้นจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ดันยอดขายโตแกร่ง บริหารต้นขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ แถมยังได้แรงหนุนจากการล็อกต้นทุุนค่าขนส่งไปทวีปอเมริกาใต้ล่วงหน้าได้ราคาต่ำ หนุนลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น พร้อมประกาศจ่ายปันผลระหว่างกาลตอบแทนผู้ถือหุ้น 0.05 บาท/หุ้น ขึ้น XD 27 สิงหาคม 64

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) (FPI) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในไตรมาส 2 ของปี 2564 และปี 2563 งบการเงินรวมของบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 61.2 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 4.3 ล้านบาท (ตามลำดับ) เพิ่มขึ้น 56.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1,335.9% สาเหตุหลักมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้มีกำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น ประกอบกับทางบริษัทมีการจัดการที่ดีขึ้นทั้งการขึ้นราคาสินค้า ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นจากฝ่ายผลิต และการสูญเสียจากการผลิตลดลง

โดยในไตรมาส 2 ของปี 2564 และปี 2563 มีรายได้รวม 551.4 ล้านบาท และ 369.4 ล้านบาท (ตามลำดับ) เพิ่มขึ้น 182.0 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.3% โดยมีรายได้จากการขายและบริการของไตรมาส 2 ของปี 2564 เป็นเงิน 540.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นเงิน 207.9 ล้านบาท หรือคิดเป็น 62.4%

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทยังได้มีมติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเป็นเงินสด เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น 0.05 บาทต่อหุ้น โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 27 สิงหาคม 64 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลในวันที่ 30 สิงหาคม 2564 และจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 14 กันยายน 2564

สาเหตุหลักเกิดจากการที่บริษัทฯ เซ็นสัญญาค่าขนส่งของทวีปของอเมริกาใต้ล่วงหน้าได้ในราคา $5,600 ต่อตู้จนถึงสิ้นปี 2564 (ปัจจุบันราคา $11,000) ทำให้ลูกค้าซื้อสินค้ามากขึ้น (จาก 37 ล้านบาท เป็น 89 ล้านบาท) ประกอบกับเศรษฐกิจทั่วโลกเริ่มฟื้นตัวจากการระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ทำให้ยอดขายต่างประเทศเพิ่มขึ้นใน 4 โซนหลัก คือ เอเชียและตะวันออกกลาง อเมริกาใต้ แอฟริกา และยุโรป เป็นจำนวน 116 ล้านบาท 52 ล้านบาท 16 ล้านบาท และ 15 ล้านบาทตามลำดับ ยอดขายของบริษัทลูกที่อินเดียยังน้อยเพราะคำสั่งซื้อโดนเลื่อนเนื่องจากผลกระทบของการระบาดไวรัสโคโรนา 2019 รอบสอง

ในไตรมาส 2 ของปี 2564 และปี 2563 บริษัทฯ มีต้นทุนขายและบริการเท่ากับ 405.4 ล้านบาท และ 276.1 ล้านบาท (ตามลำดับ) เพิ่มขึ้น 129.3 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.5% และ 74.7% ของยอดขายตามลำดับ ลดลง 1.2%

สาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทสามารถขึ้นราคาสินค้ากับลูกค้าได้ 5-10% เนื่องจากการที่ราคาวัตถุดิบทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทฯ สามารถทำสัญญาซื้อวัตถุดิบ (โดยเฉพาะเม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ และสี) และสินค้าซื้อมาขายไปและตกลงราคาล่วงหน้าเป็นเวลา 6-12 เดือน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมาทำให้ภายในปี 2564 ทางบริษัทฯ หลีกเลี่ยงผลกระทบดังกล่าวได้ ประกอบกับประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นในขณะที่ต้นทุนของเสียในการผลิตลดลงทำให้บริษัทฯสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดี

ส่วนผลประกอบการในงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 118.4 ล้านบาท เมื่อเทียบกับขาดทุน 37.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 155 ล้านบาท หรือพลิกฟื้นมีกำไรเพิ่มขึ้น 419.2% โดยในครึ่งแรกของปีนี้บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้น 127.5 ล้านบาทหรือ 14.4% อัตราส่วนต้นทุนการขายและบริการต่อยอดขายลดลง 6.0% อัตราส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง 7.2% ค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง 31.6 ล้านบาท โดยที่เกิดจากการลดลงของต้นทุนทางการเงิน 6.5 ล้านบาท และขาดทุนจากการเปลี่ยนสถานะทางการเงินในปี 2563 อีก 25.1 ล้านบาท

กรรมการผู้จัดการ FPI กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจของบริษัทฯ เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ เห็นได้ชัดจากยอดขายในครึ่งปีแรกที่ฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จากยอดขายที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก ทำให้ ทำให้มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีงานในมือรอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 700 ล้านบาท คาดรับรู้ปีนี้กว่า 50% ขณะที่สามารถบริหารต้นทุนการขายและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการขยับราคาสินค้าได้สอดคล้องกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มรายได้ในปีนี้จะเติบโตเกิน 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้


กำลังโหลดความคิดเห็น