"ซีลิค คอร์พ "เผยงบครึ่งปีแรก 2564 ทำ New high แม้เผชิญสถานการณ์ท้าทาย โชว์กำไรสุทธิ 59.08 ล้านบาท เติบโต 52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่รายได้แตะ 749.35 ล้านบาท เติบโต 22.4% ด้านผู้บริหารเผยครึ่งปีแรกงบสดใส เหตุเน้นกลยุทธ์มุ่งสู่ตลาดมีศักยภาพเติบโต เจาะกลุ่มบรรจุภัณฑ์ อาหารและเครื่องดื่ม ขนส่ง เฟอร์นิเจอร์ พร้อมรับอานิสงส์กักตุนอาหารและเครื่องดื่ม หนุนความต้องการใช้งานเพิ่ม
นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ “SELIC” เปิดเผยว่า บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปี 2564 (มกราคม-มิถุนายน 2564) ทำสถิติสูงสุดใหม่ หรือ New high โดยทำกำไรสุทธิอยู่ที่ 59.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 38.86 ล้านบาท และมีรายได้รวมงวด 6 เดือนอยู่ที่ 749.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.4% จากช่วงเดียวกันปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 612.35 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทฯ ใช้กลยุทธ์ในการเจาะและมุ่งทำตลาดอุตสาหกรรมที่มีการเติบโต โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมสัดส่วน 41% และรายได้จากธุรกิจสติกเกอร์ 59%
สอดคล้องกับตัวเลขงวด 6 เดือนของบริษัทฯ ที่ทำรายได้จากทั้ง 2 ธุรกิจหลักมีการเติบโต คือ รายได้จากธุรกิจกาวอุตสาหกรรมอยู่ที่ 605.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66.8% และรายได้จากธุรกิจสติกเกอร์หรือฉลากที่มีกาวในตัวอยู่ที่ 445.15 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.2% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทฯ
"แม้ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทฯ ต้องเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่หากพิจารณาถึงการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก 2564 พบว่า ตัวเลขกำไรของบริษัททำ New high ยิ่งเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าการที่บริษัทฯ มีการปรับตัวทันท่วงทีกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นการสนับสนุนให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ มีความสามารถเติบโตที่แข็งแกร่ง ซึ่งซีลิคเองมีความมุ่งมั่นในการเติบโตอย่างยั่งยืนท่ามกลางสถานการณ์ท้าทายจากภายนอก" นายเอก กล่าว
น.ส.ยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC กล่าวว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม อย่างไรก็ตาม ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 ยังคงสามารถสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนและจากปีก่อน โดยมาจากรายได้ทั้ง 2 ธุรกิจหลักเพิ่มขึ้นจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เป็นผลจากการสำรองอาหารและเครื่องดื่มล่วงหน้าเพื่อการบริโภคภายในครัวเรือนที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมของครึ่งปีแรกบริษัทฯ ยังสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่าปีก่อน รวมถึงบริษัทฯ มุ่งมั่นในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปัจจัยบวกจากการเจาะกลุ่มตลาดที่มีศักยภาพและบริษัทมีความเชี่ยวชาญ โดยเมื่อพิจารณาจากรายงานความต้องการตลาดโลกที่มีต่อกาวอุตสาหกรรมเติบโตเฉลี่ย 4.6% ต่อปีจากมูลค่าตลาดทั้งหมดที่ 1,830 พันล้านบาท หรือ 58.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีการเติบโตของอุตสาหกรรมที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักและมีความต้องการใช้งานกาวอุตสาหกรรมและฉลากที่มีกาวในตัวสูง เช่น อุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม อุตสาหกรรมขนส่ง และเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่บริษัทฯ มีความเชี่ยวชาญและเป็นฐานลูกค้าหลัก และจะส่งผลให้เกิดการเติบโตในการขยายตลาดได้ต่อเนื่อง