เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ถูกกล่าวหาว่าทุจริตและรับเงินสินบนมูลค่าหลายล้านดอลลาร์จากธนาคารต่าง ๆ เป็น "ค่าจ้างในการพูด" เพื่อมาต่อต้านและโจมตึระบบคริปโต
จากการเปิดเผยของ bitcoinist ระบุถึงกรณีของนาง เจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่งถูกกล่าวหาว่าทุจริตว่ารับสินบนในรูปแบบของ "ค่าธรรมเนียมการพูด" จากหลายธนาคาร โดยทางเลขานุการยื่นการเปิดเผยข้อมูลแบบจำกัดรายได้ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเยลเลน ได้รับค่าธรรมเนียมการพูดหลายล้านจากธนาคารต่างๆ รวมไปถึงจากกองทุนป้องกันความเสี่ยง Citadel และ Citi Bank ที่มีมูลค่าสูงถึงกว่า 7.2 ล้านดอลลาร์
Bruce Fenton นักลงทุนและผู้ที่คลั่งไคล้ Bitcoin ชี้ให้เห็นถึงรายได้ที่สูงอย่างน่าแปลกใจ โดยเฟนตันได้โพสต์ทวีตภาพรายได้ของนางเยลเลน และเน้นจำนวนเงินที่ธนาคารจ่ายให้เธอผ่านทางเลขานุการ
จากยอดเงินที่นางเยลเลน ได้รับรวมกว่า 7 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนดังกล่าวนั้นยังระบุถึงจำนวนเงินอีก 450,000 เหรียญจาก City National ในเวลาเพียง 3 วันในการพูด ซึ่งนักลงทุนต่างจับกลุ่มพูดคุยกันถึงจำนวนเงินที่นางเยลเลนได้รับจากการจ่ายสินสินบนของธนาคารในรูปแบบของค่าธรรมเนียมการพูด
ขณะที่เลขานุการของนางเยลเลน ระบุว่าธนาคารที่จ่ายเงินให้เธอเป็นจำนวนมากสำหรับ "ค่าธรรมเนียมการพูด" โดยปัจจุบันมีมูลค่าสุทธิประมาณ 20 ล้านเหรียญ นั่นหมายความว่าหนึ่งในสามของมูลค่าสุทธิทั้งหมดของ Yellen จ่ายโดยธนาคารเดียว
อย่างไรก็ดีจำนวนค่าธรรมเนียมการพูดของนางเยลเลน ที่ธนาคารจ่ายให้ทำให้ผู้คนเชื่อว่าตอนนี้นางเยลเลนกำลังทำงานให้กับธนาคาร และจากข้อเท็จจริงที่ว่านางเยลเลนได้ตอกย้ำห้ามการเงินแบบกระจายอำนาจ (DeFi) ซึ่งเป็นคู่แข่งที่โดดเด่นของธนาคารแบบดั้งเดิม ยิ่งมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขณะเดียวกันพบว่าประชาชนที่เป็นลูกค้าของธนาคารจำนวนมากได้เริ่มย้ายเงินของพวกเขาไปที่ DeFi แทนที่จะเอาเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ในธนาคาร ซึ่งใน DeFi ชูจุดเด่นที่ผลตอบแทนที่สูงขึ้นกว่าผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ยของธนาคารดั้งเดิม และการออมในบริการทางการเงินแบบกระจายอำนาจจึงดึงดูดผู้ใช้มากขึ้นจากความแตกต่างด้านผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย แม้จะมีความเสี่ยงมากกว่ารูปแบบเดิมหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ดีจากการยื่นต่อสภาคองเกรส ในการกำหนดเกณฑ์ข้อกฏหมายซึ่ง Warner Portmen ที่ได้รับการสนับสนุนจากนางเยลเลน ระบุว่าหากผ่านการอนุมัติ จะถือ coders ของสัญญาดิจิทัลที่รับผิดชอบในฐานะนายหน้า ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลเสียต่อบริการ DeFi และส่งผลกระทบต่อตลาด DeFi อย่างมาก
ขณะเดียวกันกลับส่งผลดีต่อธนาคาร เพราะจะกำจัดทางเลือกสำหรับคนที่จะลงทุนในพื้นที่การเงินแบบกระจายอำนาจ เนื่องจากผู้เข้ารหัสสัญญาคริปโตไม่ต้องการรับผิดชอบในฐานะนายหน้า ซึ่งผลกระทบนี้ส่งผลต่อผู้ทำธุรกรรมและสร้างความเสียหายอย่างมากต่อตลาด DeFi