แม้ว่าจะเต็มไปด้วยข่าวร้าย ปัจจัยลบและผลกระทบจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตลาดหุ้นกลับพุ่งทะยานขึ้น และทำท่าจะวิ่งกลับขึ้นไปที่ระดับ 1,550 จุดอีกครั้ง โดยมีแรงซื้อจากกองทุนรวมในประเทศตัวขับเคลื่อน
บรรยากาศการซื้อขายหุ้นเมื่อวันจันทร์ที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา คึกคักเหนือความคาดหมาย โดยมีแรงซื้อไหลเข้ามาในหุ้นขนาดใหญ่ตั้งแต่ช่วงเช้า ทำให้ดัชนีหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก่อนปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,540.19 จุด เพิ่มขึ้น 18.47 จุด มูลค่าซื้อขาย 69,892.57 ล้านบาท
นักลงทุนสถาบันเป็นผู้ซื้อรายเดียว จำนวน 2,381.82 ล้านบาท โดยซื้อหุ้นขนาดใหญ่ เช่น หุ้นกลุ่มแบงก์ กลุ่มโรงไฟฟ้าหรือกลุ่มพลังงาน ผลักดันให้ดัชนีหุ้นดีดตัวแรง
ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ “โควิด-19” ฉุดให้ดัชนีหุ้นปรับฐานหลายวันติดต่อ จนประเมินกันว่า รอบนี้อาจจะหลุด 1,500 จุด แต่ท่ามกลางมุมมองในแง่ร้าย หุ้นอยู่ในแนวโน้มขาลงเต็มตัว ตลาดหุ้นกลับร้อนแรงสวนทางคำนาย เพราะแรงซื้อจากกองทุนในประเทศที่โหมเข้ามา จนดูเหมือนแนวโน้มตลาดหุ้นจะพลิกสู่ขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โบรกเกอร์หลายสำนักออกมาตอกย้ำว่า แนวโน้มหุ้นครึ่งปีหลังน่ากังวล และมีความเสี่ยงในความผันผวน โดยหุ้นอาจปรับตัวลงแตะจุดต่ำสุดใหม่ในรอบปีที่ระดับ 1,450-1,460 จุด
ปัจจัยกระทบสำคัญคือ การแพร่บาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ฉุดให้เศรษฐกิจทรุด การท่องเที่ยวฟุบ ค่าเงินบาทอ่อนยวบ และไม่มีสัญญาณการกลับมาของนักลงทุนต่างชาติ แม้จะขายหุ้นออกมาต่อเนื่องตลอด 5 ปีแล้วก็ตาม
สำนักวิจัยเศรษฐกิจทยอยปรับลดประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในปีนี้ โดยหลายแห่งคาดการณ์ว่า จีดีพีหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศจะติดลบ สะท้อนภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาอย่างหนัก
ส่วนประมาณการผลกำไรบริษัทจดทะเบียนปีนี้ถูกปรับลดลงมาตามเศรษฐกิจที่ถดถอย ขณะที่เป้าหมายดัชนีหุ้น 1,650 จุดที่โบรกเกอร์ส่วนใหญ่ทำนายไว้ ปลายปีนี้คงไม่ได้เห็น
นักลงทุนต่างประเทศ ซึ่งก่อนหน้าคาดว่าจะทยอยกลับเข้ามาลงทุนในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะไทยกำลังเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่การระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ทำลายความหวังการฟื้นฟูการท่องเที่ยวทั้งหมด และยังทำให้ต่างชาติเทขายหุ้นไม่เลิก
ยอดขายหุ้นสุทธิสะสมของต่างชาติ เมื่อสิ้นสุดวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมาพุ่งขึ้นไป 101,866.74 ล้านบาท
ดัชนีหุ้นควรจะหลุด 1,500 จุดไปแล้ว แต่ที่ยังยืนอยู่ได้เพราะมีแรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อยเข้ามาพยุงไว้ โดยรายย่อยยังเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ จนมียอดซื้อหุ้นสะสมสุทธิตั้งแต่ต้นปีรวมทั้งสิ้น 130,556.45 ล้านบาท
แรงซื้อจากนักลงทุนรายย่อยน่าจะเกิดจากนักลงทุนหน้าใหม่ ซึ่งปีนี้เปิดบัญชีซื้อขายเพิ่มขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดย 4 เดือนแรก นักลงทุนหน้าใหม่เปิดบัญชีซื้อขายหุ้นประมาณ 1.5 แสนราย และเชื่อว่าตัวเลขล่าสุดน่าจะทะลุ 2 แสนรายไปแล้ว
นักลงทุนหน้าใหม่เข้ามาในตลาดหุ้นพร้อมเงินก้อนใหม่ และพกความมั่นใจเข้ามาด้วย โดยไม่กลัวความผันผวน ไม่มีประสบการณ์ความเสียหาย จึงไม่ตระหนักในความเสี่ยง และซื้อหุ้นเก็บสะสมมาตลอด
ถ้าไม่มีเงินก้อนใหม่จากนักลงทุนมือใหม่เข้าช้อนหุ้น รองรับแรงขายของต่างชาติวันนี้ดัชนีหุ้นอาจหลุด 1,500 จุดไปแล้ว แต่ถึงจะมีกองทุนจากนักลงทุนหน้าใหม่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่า แนวรับระดับ 1,500 จุดจะยืนอยู่ได้ตลอดรอดฝั่ง ท่ามกลางมรสุมข่าวร้ายทั้งจากภายนอกและภายในกระหน่ำใส่ตลาดหุ้น
จุดต่ำสุดที่โบรกเกอร์หลายแห่งทำนายไว้ 1,450-1,460 จุด เป็นสมมติฐานที่ไม่ห่างไกลจากความจริงแต่อย่างใด
หุ้นที่ขึ้นมารอบนี้จึงอาจเป็นจังหวะที่ดีในการชิงขายทำกำไร ไม่ใช่แห่เข้าไปไล่ซื้อ
เพราะสถานการณ์แวดล้อมบ่งชี้ว่า ไตรมาสที่ 3 หุ้นยังอยู่ในช่วงขาลง