“ลุมพินี วิสดอม” ระบุ "บ้านอัจฉริยะ : Smart Residence" ตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัย สุขอนามัย และเทคโนโลยี ในยุคหลัง COVID-19 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 40% ต่อปี
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันว่า หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ได้มีการพัฒนาการออกแบบที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของประชาชน ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ ซึ่งกลายเป็นวิถีชีวิตในปัจจุบัน (Now Normal)
โดยคำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย การออกแบบพื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function & Material) ที่ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยและเป็นมิตรต่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม การออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health) และการนำนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยโดยใช้เทคโนโลยี Internet of Thinks (IoTs) และอุปกรณ์อัจฉริยะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญเพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
จากการประเมินของ IDC สถาบันวิจัยด้านการตลาดของสหรัฐฯ ระบุว่า จำนวนอุปกรณ์ Smart Residence ของโลกมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 31% ต่อปี จากจำนวน 644 ล้านเครื่องในปี 2561 จะเพิ่มเป็น 1,300 ล้านเครื่องในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า เท่าตัวภายในระยะเวลาเพียง 3 ปี ขณะที่ A.T.Kearney ระบุว่า มูลค่าตลาดของ Smart Residence ทั่วโลกจะอยู่ที่ 263,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 8.4 ล้านล้านบาทในปี 2568 โดยผลการศึกษายระบุว่า Smart Residence ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับ 2 หมวดหลักๆ คืออุปกรณ์ที่เพิ่มความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต และอุปกรณ์ที่ตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัย
ขณะที่บริษัท เมสเซ่ แฟรงก์เฟิร์ตนิว เอร่า บิซิเนส มีเดีย จำกัด ศึกษาการเติบโตของตลาด Smart Residence ในประเทศไทยระบุว่า ตลาดผลิตภัณฑ์ Smart Home ของประเทศไทยในปี 2559 มีมูลค่า 645 ล้านบาทและเพิ่มมากกว่าเท่าตัวในปี 2563 โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 40% ต่อปี โดยแบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ Smart Residence เพื่อการดูแลผู้สูงอายุเติบโตสูงสุด 60% และผลิตภัณฑ์ Smart Home เพื่อการรักษาความปลอดภัยจะเติบโตเป็นอันดับ 2 คือ 45% ต่อปี
จากผลการสำรวจดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั่วโลกให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยเข้ามาใช้ในการปรับปรุงที่อยู่อาศัยในรูปแบบของบ้านอัจฉริยะ หรือ Smart Residence มากขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่เริ่มให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยี และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อให้การอยู่อาศัยมีความสะดวกสบายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
จากการวิจัยของทีมพัฒนาผลิตภัณฑ์ของ “ลุมพินี วิสดอม” พบว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึง 3 ปัจจัย ประกอบด้วย พื้นที่ใช้สอยและวัสดุ (Function& Material) การออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health) เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology) โดยที่ Smart Residence เป็น 1 ใน 3 ปัจจัยสำคัญที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ
พื้นที่ใช้สอยและวัสดุในแบบ Multifunctional Space
จากผลการศึกษาพบว่า หลังการแพร่ระบาดของ COVID-19 พฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไปจากบ้านเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อการพักผ่อนและทำกิจกรรมส่วนตัว ในปัจจุบันบ้านเป็นทั้งที่ทำงานและสถานที่พักผ่อนไปพร้อมกันเมื่อผู้คนต้องทำงานที่บ้าน (Work from Home) มากขึ้น ทำให้การออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยในปัจจุบันผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องออกแบบให้มีพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับเปลี่ยนการใช้สอยในพื้นที่ได้ในแบบ Multifunctiona lSpace เช่น การแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านด้วยผนังทึบอาจต้องปรับเปลี่ยนเป็นผนังที่สามารถเปิดเพื่อเชื่อมต่อพื้นที่ภายในที่อยู่อาศัย โดยการใช้บานเลื่อนหรือบานเฟี้ยม นอกจากจะมีประโยชน์ในด้านความยืดหยุ่นของพื้นที่ใช้สอยแล้วยังทำให้ที่อยู่อาศัยดูโปร่ง และมีการไหลเวียนอากาศที่ดี เพื่อตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต
ในขณะเดียวกัน การเลือกใช้วัสดุต่างๆ ภายในที่อยู่อาศัยจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้วัสดุที่เหมาะสม การระบายอากาศที่ดี หรือแม้แต่ปริมาณแสงธรรมชาติที่เข้ามาภายในพื้นที่ใช้สอยนั้นๆ เช่น พื้นที่ครัวโดยเฉพาะครัวไทยที่ต้องใช้วัสดุที่เช็ดทำความสะอาดได้ง่าย กันน้ำได้ดี และระบายอากาศได้ง่ายหรือพื้นที่อ่านหนังสือ พื้นที่นั่งเล่นที่ต้องการปริมาณแสงธรรมชาติมากกว่าห้องนอนเป็นต้น
การออกแบบโดยให้ความสำคัญกับสุขอนามัย (Health)
จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รวมถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทำให้ประชาชนตระหนักและหันมาดูแลสุขภาพตัวเองกันมากขึ้นการออกแบบที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นที่ต้องออกแบบที่อยู่อาศัยโดยคำนึงถึงสุขอนามัยที่ดีโดยใช้นวัตกรรมการออกแบบที่ส่งเสริมคุณภาพทางด้านสุขอนามัยภายในที่อยู่อาศัย เช่น ระบบช่วยลดไวรัสและแบคทีเรียภายในอากาศ โดยใช้ประจุบวกและลบซึ่งมีประสิทธิภาพการกำจัดได้ถึง 99% ระบบควบคุมการไหลเวียนอากาศภายในบ้านที่ช่วยทำให้อากาศถ่ายเทแม้จะปิดประตูหน้าต่างอยู่ก็ตาม รวมถึงนวัตกรรมทางด้านวัสดุที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพเช่น สีทาบ้านLow VOCs ซึ่งได้รับการรับรองว่ามีการปล่อยสาร VOCs หรือสารอินทรีย์ระเหยง่ายที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพในระดับต่ำ หรือลามิเนตที่ป้องกันแบคทีเรียและไวรัส เป็นต้น
นอกจากนวัตกรรมที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตในเรื่องสุขอนามัยแล้ว พื้นที่สีเขียวภายในบ้านเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมสุขภาพทางด้านจิตใจให้แก่ผู้อยู่อาศัย ดังนั้น การออกแบบที่อยู่อาศัยจึงควรมีพื้นที่สวนเล็กๆ ภายในบริเวณบ้านหรือมีพื้นที่ปลูกต้นไม้ที่ระเบียงที่สามารถมองเห็นได้จากภายในห้อง
เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology)
เทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย (Smart Living Technology) ของบ้านอัจฉริยะ Smart Residence หัวใจสำคัญคือ การสร้างความสะดวกสบายและ ความปลอดภัยในการอยู่อาศัย ด้านความสะดวกสบายการพัฒนา Smart Residence ได้มีการนำเทคโนโลยี HomeAutomation เชื่อมต่อเข้ากับระบบสั่งการต่างๆ ทั้งทางเสียง หรือแอปพลิเคชันต่างๆ เพื่อควบคุมการทำงานของระบบเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในที่พักอาศัยเช่น การเปิดปิดไฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่น โทรทัศน์ เครื่องเสียง ปลั๊กไฟการปรับอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศ และ การควบคุมแสงสว่างและอุณหภูมิภายในบ้าน เป็นต้น รวมถึงการเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตกับอุปกรณ์สั่งการด้วยเสียงที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ต หรือแม้แต่การตรวจสอบสภาพการจราจรก่อนออกจากบ้านได้เพียงแค่การถามอุปกรณ์นั้น
นอกจากนี้ การพัฒนา Smart Residence ต้องคำนึงถึงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประหยัดพลังงานทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยในรูปแบบของ Smart Residence ต้องนำนวัตกรรมที่ช่วยแก้ปัญหาความร้อนภายในที่อยู่อาศัย เช่น ระบบ Fresh Air Intake ที่จะการถ่ายเทอากาศและระบายความร้อนออกจากตัวบ้านด้วยการนำอากาศใหม่เข้ามาในบ้านผ่านช่องระบายอากาศและดึงความร้อนจากภายในตัวบ้านขึ้นไปยังช่องใต้หลังคาด้วยระบบระบายอากาศฝ้าเพดานและระบายออกสู่นอกตัวบ้านผ่านระบบระบายความร้อนในช่องใต้หลังคา นอกจากระบบ Fresh Air Intake แล้ว การใช้วัสดุ เช่น กระจก อิฐก่อผนัง หลังคา หรือฉนวนกันร้อนที่ได้คุณภาพก็ยังช่วยลดปริมาณการใช้พลังงานภายในบ้านได้อีกด้วย
ด้านความปลอดภัยระบบ Smart Residence ได้มีการนำระบบรักษาความปลอดภัยโดยมีอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น กล้องวงจรปิด ระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ที่ประตู หน้าต่าง Digital Door Lock เป็นต้นโดยที่อุปกรณ์ต่างๆ จะสามารถควบคุมได้ผ่านแอปพลิเคชัน หรือ Home Automation ภายในบ้าน และเมื่อเกิดเหตุก็จะส่งสัญญาณเตือนมาที่โทรศัพท์ของผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ หากเป็นหมู่บ้านจัดสรรหรือคอนโดมิเนียมระบบ Smart Residence จะช่วยให้เจ้าของบ้านสามารถเห็นหน้าผู้ที่มาติดต่อผ่านกล้อง CCTV หน้าโครงการได้ ทำให้โครงการสามารถป้องกันการบุกรุกจากบุคคลภายนอก รวมถึงหากเกิดเหตุภายในบ้านสัญญาณก็จะส่งไปยังส่วนรักษาความปลอดภัยหน้าโครงการ ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยสามารถเข้ามาได้ทันท่วงทีรวมถึงการนำระบบควบคุมและจัดการอาคารอัตโนมัติ หรือ Building Automation System (BAS) เข้ามาใช้ในอาคารเพื่อการดูแลและบำรุงรักษาอาคารตามระยะเวลาที่เหมาะสม ลดความเสี่ยงและความเสียหายจากอุปกรณ์ต่างๆ ของอาคารที่เสื่อมไปตามระยะเวลาการใช้งานเป็นต้น
“Smart Residence ถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเทคโนโลยี 5G เพื่ออำนวยความสะดวกในการอยู่อาศัย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปนอกจากปัจจัยเรื่องความสะดวกสบายและความปลอดภัยที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในอนาคตแล้ว การพิจารณาข้อดีและข้อเสียในการเลือกที่อยู่อาศัยที่มีเทคโนโลยีที่เสถียรในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) อย่างเหมาะสมและสมดุลกับตนเอง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการเลือกซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่จะตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ฉลาดซื้อ (Smart Life) ได้ในทุกมิติอย่างแท้จริง” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว


