เมื่อวัคซีนเริ่มคลี่คลายสถานการณ์ COVID-19 กดดันเฟด เร่งรอบขึ้นอัตราดอกเบี้ยสกัดเงินเฟ้อจนตลาดทองคำ และหุ้นดิ่งลง คาดราคาทองคำอาจหมดรอบขาขึ้น จับตาการประชุมรอบสิงหาคม หากเฟดลดวงเงิน QE ยิ่งฉุดราคาทองคำดิ่ง
การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) รอบล่าสุด (16 มิ.ย.) เป็นที่จับตามมองอย่างยิ่งจากทุกภาคส่วน เหตุผลสำคัญมาจากการฟื้นตัวที่รวดเร็วของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จนทำให้อัตราเงินเฟ้อขยับสูงขึ้น จนเริ่มมีสัญญาณบ่งชี้ว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้
"เจอร์โรม พาวเวลล์" ประธานเฟด กล่าวว่า เป้าหมายของเฟดเรื่องอัตราการจ้างงานและเงินเฟ้อมีความคืบหน้าและเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คาด ขณะที่เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างฉับพลันและแข็งแกร่ง จึงประเมินว่า GDP ในปี 2021 จะเติบโต 7% ปรับขึ้นจากเดิม 6.5% ส่วนอัตราการว่างงานยังคงเดิมที่ 4.5% ซึ่งแถลงการณ์ดังกล่าวทำให้ภาวะทางเศรษฐกิจรู้สึกผ่อนคลายลงนับตั้งแต่เกิดวิกฤต COVID-19 โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากความก้าวหน้าด้านการฉีดวัคซีน ที่ทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจและการจ้างงานแข็งแกร่งขึ้น
เมื่อเฟดส่งสัญญาณเร่งเวลาขึ้นดอกเบี้ย ก็ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง เพราะหลายฝ่ายเชื่อว่า เฟดจะใช้นโยบายตึงตัวมากขึ้นในอนาคต รวมทั้งอาจมีการชะลอการซื้อพันธบัตรภายในปีนี้ แม้ปัจจุบัน เฟดยังไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับการลดวงเงินซื้อพันธบัตร จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์ต่อเดือน นอกจากนี้ ผลประชุมเฟดล่าสุดยังทำให้ค่าเงินของประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียอ่อนค่าลงตามไปด้วย
ล่าสุด ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ “เจมส์ บูลลาร์ด” ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์กล่าวว่า เฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในปีหน้าเพื่อควบคุมเงินเฟ้อที่จะพุ่งแตะ 3% ในปีนี้ และจะอยู่ที่ 2.5% ไปจนถึงปี 2565 โดยสูงกว่าเป้าหมายที่ระดับ 2% ของเฟด
ดังนั้น การส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดถือเป็นการรับมือตามปกติต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะต่อเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นเร็วกว่าที่คาดไว้ หลังสหรัฐฯ ทำการเปิดเศรษฐกิจอีกครั้งหลังจากประกาศล็อกดาวน์ก่อนหน้านี้เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ซึ่งจากเดิมเฟดเคยส่งสัญญาณในเดือน มี.ค. จะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2567 และการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์จะส่งผลให้สัญญาทองคำซึ่งกำหนดราคาเป็นดอลลาร์นั้นมีความน่าสนใจน้อยลงจากนักลงทุน และเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสัญญาณการเร่งตัวขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ล่าสุดมีรายงานว่าสัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (18 มิ.ย.) ปรับตัวลงมากที่สุดในรอบสัปดาห์นี้นับตั้งแต่เดือน มี.ค.2563 โดยถูกกดดันจากการที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นหลังเฟดส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด
โดยสัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน ส.ค. ลดลง 5.8 ดอลลาร์ หรือ 0.33% ปิดที่ 1,769 ดอลลาร์/ออนซ์ และร่วงลง 5.9% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการร่วงลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่สัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 13 มี.ค.2563
ขณะที่ราคาทองคำในประเทศ ราคาทองคำในเดือนมิถุนายน 2564 ล่าสุด (19 มิ.ย.) อยู่ที่ 26,400 บาท ปรับตัวลดลงไปแล้ว 1,750 บาทจากเดือนพฤษภาคม ซึ่งราคาเคยสร้างสถิติสูงสุดนับตั้งแต่ต้นปีที่ระดับ 28,200 บาท
โดยในเดือนเมษายน-พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นช่วงที่ราคาทองคำปรับตัวเพิมขึ้นต่อเนื่องถึง 3,150 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำในปัจจุบันแม้จะปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังสูงกว่าช่วงเดือนมกราคม ซึ่งต่ำสุดที่ระดับ 26,050 บาท และสูงสุดของเดือนที่ระดับ 27,650 บาท
ส่วนราคาทองคำต่ำสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่เดือนมีนาคม ที่ระดับ 24,450 บาท และสูงสุดของเดือนที่ระดับ 25,600 บาท ทำให้ครึ่งปีแรกภาพรวมราคาทองคำในประเทศลดลง 450 บาทจากปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ราคาทองคำปรับตัวเพิ่มขึ้นสูง 5,300 บาทจากปีก่อนหน้า และสร้างสถิติราคาสูงสุดที่ระดับ 30,400 บาท ในช่วงเดือนสิงหาคม
“พิบูลย์ฤทธิ์ วิริยะผล” ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทองคำ แสดงความเห็นว่า ราคาทองคำกลับลงมาอยู่ในทิศทางขาลง ตอบรับผลประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของเฟด ที่ส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2566 เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 1 ปี แม้ว่าครั้งนี้จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น 0.00-0.25% ทำให้ตลาดจึงคาดว่าจะมีการลดปริมาณการซื้อสินทรัพย์ลง
โดยอาจเริ่มเห็นเกิดขึ้นในเดือนกันยายนนี้ ซึ่งถือเป็นข่าวส่งผลเชิงลบต่อตลาดทองคำ นอกจากนี้ ประธานเฟดแถลงว่ากรรมการเฟดได้เริ่มหารือเกี่ยวกับลดวงเงินในมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ส่งผลให้เม็ดเงินลงทุนส่วนใหญ่ไหลเข้าสู่สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ โดยมีแนวรับอยู่ที่ 1,760 เหรียญ หรือประมาณ 26,000 บาทต้นๆ ถือเป็นจังหวะทยอยซื้อสะสมเพื่อเล่นรอบได้
ด้าน “ฐิภา นววัฒนทรัพย์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด (YLG) เปิดเผยว่าหลังผลการประชุมเฟดเมื่อ 15-16 มิ.ย.ที่ผ่านมา แม้จะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แต่ก็มีถ้อยแถลงต่อเศรษฐกิจที่แม้จะมีความคืบหน้าแต่ยังห่างไกลเป้าหมาย ซึ่งหากความคืบหน้ายังดำเนินต่อไป ก็จำเป็นต้องหารือเกี่ยวกับการปรับลดวงเงินการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในการประชุมครั้งต่อไป
สัญญาณดังกล่าวส่งผลกระทบต่อตลาดทองคำต่อเนื่อง ล่าสุด ราคาทองทำปรับลดลงไปทำระดับต่ำสุดที่ 1,804 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แม้เริ่มมีแรงซื้อกลับ แต่ตราบใดที่ราคาทองยังไม่สามารถกลับขึ้นยืนเหนือ 1,870-1,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ราคายังมีแนวโน้มปรับลดลงอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี แม้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะได้รับผลดีจากถ้อยแถลงของเฟด แต่แนวโน้มดอลลาร์ในระยะยาวยังคงไม่แน่นอนจากความเสี่ยงเรื่องของเงินเฟ้อและปัญหาหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำมีโอกาสดีดกลับเป็นระยะ ทำให้ยังมีช่องในการเก็งกำไรระยะสั้น ซึ่งหากทองคำสามารถดีดกลับไปที่แนวต้านแรกบริเวณ 1,830-1,843 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 27,200-27,300 บาทต่อบาททองคำ แนะนำให้ขายทำกำไรออกมาก่อน จนกว่าทองคำจะดีดแรงจนผ่าน 1,870-1,860 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ไปได้ทิศทางถึงจะสดใสขึ้น
ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อให้รอจังหวะย่อตัวเท่านั้น โดยจับตาบริเวณ 1,804-1,795 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,700 บาทต่อบาททองคำ หากหลุดแนวดังกล่าว แนะนำรอดูการตั้งฐานของราคาแล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้งบริเวณแนวรับถัดไปที่ 1,781-1,767 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ หรือ 26,350-26,150 บาทต่อบาททองคำ
สำหรับแนวโน้มราคาทองคำในระยะยาว วายแอลจียังมองว่าราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้เป็นระยะ แต่ทิศทางระยะสั้นและระยะกลางกลับมาเป็นลบอีกครั้ง ทำให้นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังในการถือครองทองคำ โดยเน้นลงทุนในระยะสั้นตามกรอบการเคลื่อนไหวของราคา ท่ามกลางปัจจัยพื้นฐานโดยเฉพาะแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟดที่อาจเปลี่ยนจากผ่อนคลายเป็นพิเศษ กลับไปสู่การดำเนินนโยบายการเงินเป็นปกติซึ่งจะสร้างความเสี่ยงด้านต่ำให้ราคาทองคำ
ขณะที่ “ณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์” ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) โกลเบล็ก กล่าวว่า ขณะนี้ราคาทองคำน่าจะจบรอบขาขึ้นแล้ว หลังจากทำสถิติขึ้นไปสูงสุดในปี 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากมองไประยะข้างหน้า ค่อนข้างเต็มไปด้วยปัจจัยลบมากกว่าจะมีปัจจัยบวก โดยเฉพาะหากเฟด ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วขึ้น หรือลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) หลังจากการประชุมเมื่อวันที่ 16-17 มิ.ย.ที่ผ่านมา เฟดส่งสัญญาณจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้น
"ราคาทองคำน่าจะตกอยู่ในภาวะซึม หรือทรงตัวจนกว่าจะมีการประชุมเฟดอีกครั้งในเดือน ส.ค. ซึ่งหากในเดือนดังกล่าวมีการปรับลด QE ก็น่าจะเป็นแรงกระแทกที่สำคัญ ที่อาจจะทำให้ราคาทองร่วงลงแรงได้อีก จากก่อนหน้านี้เคยคิดว่าจะเด้งกลับขึ้นไปได้ที่ 1,920-1,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ แต่พอไม่ได้ แล้วมีข่าวที่กระทบให้ราคาลงแรงแบบนี้ จึงคิดว่าน่าจะจบรอบแล้ว อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะยาว การลงทุนในทองคำก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ราคามีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้น แต่ต้องลงทุนระยะยาว รอขาขึ้นรอบต่อไป”
ด้าน “จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี” นายกสมาคมค้าทองคำ แสดงความเห็นว่า ช่วง 2 วันที่ผ่านมา ราคาทองคำปรับตัวลดลงมาก แต่ราคาทองในประเทศยังพอได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่อ่อนค่าจึงไม่ลงแรงมาก โดยแนวโน้มราคาทองคำยังมีโอกาส รีบาวนด์กลับขึ้นมาได้ ส่วนระยะยาวราคามีโอกาสปรับตัวลดลงไปได้อีก หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 คลี่คลาย และคาดว่าราคามีโอกาสลดลงมากกว่าปรับขึ้น โดยเฉพาะถ้าวัคซีนที่ฉีดแล้วได้ผล
ทั้งนี้ ในช่วงต้นปีธนาคารซิตี้แบงก์ ประเทศไทย เผยข้อมูลคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2564 ว่าจะเติบโตอยู่ที่ 5% อัตราเงินเฟ้อปรับขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 2.2% โดยมองแนวโน้มการเติบโตกลุ่มตลาดเกิดใหม่ 6.2% และตลาดพัฒนาแล้ว 4.1% ในด้านการเติบโตของแต่ละภูมิภาคนั้น มองว่าจีดีพีของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ 5.1% จากสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานที่ลดลง ในส่วนยุโรปจะเติบโต 3.6% ในขณะที่ภูมิภาคเอเชียในปีนี้จะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก
ขณะที่คาดการณ์จีดีพีของเอเชียจะโตถึง 7.5% โดยเฉพาะประเทศจีนอาจโตแตะ 8.2% ด้านราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทองคำเฉลี่ยอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ส่วนค่าเงินยังคงมีความผันผวนสูง สำหรับภาพรวมการลงทุนยังคงเผชิญความท้าทายสูงเช่นกัน แต่ซิตี้ยังมีมุมมองบวกต่อหุ้น โดยให้น้ำหนักในภูมิภาคเอเชีย ละตินอเมริกา ทำให้ในช่วงเวลาดังกล่าว แนะนำการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น ตราสารทุนทั่วโลก ทองคำ ตลอดจนตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ และตราสารหนี้ไฮยิลด์
โดย “ซาเมียร์ เดชพานดิ” หัวหน้าที่ปรึกษาการลงทุนระดับภูมิภาค ซิตี้แบงก์ เอเชียแปซิฟิก และตะวันออกกลาง กล่าวว่า นักวิเคราะห์ซิตี้คาดการณ์ว่า แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง แต่ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกในปี 2564 จะเริ่มทยอยกลับมาสดใสจากหลายปัจจัยทั้งการประกาศผลการทดลองวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงเป็นครั้งแรก การทยอยฉีดวัคซีนขนาดใหญ่ในหลายประเทศที่น่าจะมีขึ้นในช่วงกลางปี รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วเริ่มมีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยมองว่าการสิ้นสุดของการแพร่ระบาดจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปี ทำให้โลกกลับสู่สภาวะปกติใหม่และเป็นการเริ่มต้นอย่างเต็มรูปแบบของวัฏจักรเศรษฐกิจใหม่
ขณะเดียวกัน ภูมิภาคเอเชียจะเป็นผู้นำในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก คาดการณ์จีดีพีของเอเชียจะโตถึง 7.5% โดยเฉพาะประเทศจีนอาจโตแตะ 8.2% จากตัวเลขอัตราการติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศที่ต่ำ ตลอดจนสัญญาณการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจากกิจกรรมการท่องเที่ยว และความต้องการภายในประเทศ รวมถึงการร่วมมือในความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) จะทำให้ประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กจะได้รับประโยชน์และส่งผลดีบวกเป็นอย่างมากต่อภูมิภาคอาเซียน สำหรับประเทศไทยคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ขยายตัวราว 4.0% ส่วนระดับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 1.4% โดยมีแรงหนุนจากภาครัฐทั้งการบริโภคและการลงทุน
ด้านน้ำมันจากการร่วมมือปรับลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัส ทำให้ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์และน้ำมันดิบเวสต์เทกซัส (WTI) โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 54 และ 51 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลตามลำดับ ส่วนทองคำมีความต้องการลดลงจากความคืบหน้าของการพัฒนาวัคซีนในเชิงบวก แต่ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ คาดการณ์โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
นอกจากนี้ “ธนรัชต์ พสวงศ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทฮั่วเซ่งเฮง เคยแสดงความเห็นในช่วงต้นปี 2564 ว่า ความน่าสนใจลงทุนทองคำปีนี้จะลดลง เมื่อ “โจ ไบเดน” เข้ามาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทำให้ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบใหญ่ที่ 1,750-2,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ นั่นเพราะการมาของ “โจ ไบเดน” ถือเป็นปัจจัยหนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก เนื่องจากว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่มีนโยบายใช้มาตรการการคลังขนาดใหญ่กระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน สวัสดิการสุขภาพ และพลังงานสะอาด รวมถึงนโยบายการค้าระหว่างประเทศซึ่งมีท่าทีที่ประนีประนอมกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” ทำให้สงครามการค้าที่ตึงเครียดมาตลอดปีก่อน โดยเฉพาะระหว่างสหรัฐฯ กับจีน มีทิศทางคลี่คลายลงได้ นั่นทำให้เกิดการกระตุ้นให้เม็ดเงินไหลเข้าลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าทองคำ รวมไปถึงท่าทีของกองทุนทองคำ SPDR Gold Trust ซึ่งเป็นกองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก อาจมีการเทขายทองคำที่สะสมออกมาในปีนี้ หลังจากปีที่ผ่านมา กองทุน SPDR Gold Trust เป็นผู้เข้าซื้อทองคำสุทธิช่วง มากถึง 1,022 ตัน เทียบกับทั้งปี 2562 ที่เข้าซื้อสุทธิเพียง 398 ตัน โดย SPDR Gold Trust ได้เข้าซื้อทองคำต่อเนื่องทุกเดือน และซื้อเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญในเดือน มี.ค.63 ที่เริ่มมีการแพร่ระบาด COVID-19 ต่อเนื่องมาถึงเดือน ก.ค. ส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้น แม้จะเริ่มลดปริมาณการซื้อลดลงในเดือนต่อๆ มา แต่ SPDR Gold Trust ถือครองทองคำทั้งสิ้น 3,899 ตัน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เริ่มมีการจัดตั้งกองทุนนี้มา ทำให้มีความเป็นไปได้ที่กองทุนดังกล่าว อาจมีการเทขายทำกำไรจากทองคำที่สะสมมาในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกปัจจัยที่กดดันให้ราคาทองคำในปี 2564 ปรับตัวลดลง