xs
xsm
sm
md
lg

เทรดเหรียญคริปโตฯ “ลงทุนหรือพนัน” บนความผันผวน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เทรดเหรียญคริปโตฯ คึกและร้อนแรงต่อเนื่อง แม้ความเสี่ยงสูง เหตุนักลงทุนรุ่นใหม่เข้าถึงง่าย สะดวกกว่าการลงทุนในหุ้น เพราะไม่ต้องมีพอร์ตแถมเทรดได้ตลอดเวลา แม้ตลาดผันผวน หลายคนมอง “วิกฤติคือโอกาส” กูรูแนะหากเชี่ยวชาญให้เล่นระยะสั้น ขณะคนไทยส่วนใหญ่ซื้อแล้วถือยาวรอขายเมื่อราคาสูง อีกทั้กฎหมาย และการถือใบอนุญาตยังไม่เสถียร 

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีเรียกได้ว่า 5 เดือนแรกของปี 2564 ที่ผ่านมานี้มีความร้อนแรง เพราะได้รับความสนใจของนักลงทุนทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นรุ่นเล็กหรือรุ่นใหญ่ ผุดขึ้นมามากมาย เนื่องจากสามารถเข้าถึงการเทรดเหรียญได้ง่ายกว่าการลงทุนในหุ้น เพราะแค่เพียงมีแอพพลิเคชั่น ยืนยันตัวตน เปิดบัญชี โอนเงิน ก็สามารถเทรดเหรียญได้แล้ว อีกทั้งยังอำนวยความสะดวกให้ สามารถเทรดได้ทุกที่ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่มีวันหยุด ซึ่งแตกต่างกับการเปิดพอร์ตลงทุนในหุ้นที่มีข้อจำกัดในหลายๆด้าน 

ขณะที่สถานการณ์การเทรดเหรียญคริปโตในช่วงที่ผ่านมาก็จัดได้ว่ามีความผันผวนสูงหลังจากการร่วงลงของราคา Bitcoin ครั้งรุนแรงที่สุดปีนี้กว่า 50% ส่งผลให้มูลค่าตลาดโดยรวมสกุลเงินดิจิทัลเหลืออยู่เพียง 1.6 ล้านล้านดอลลาร์ อย่างไรก็ตามก็ยังมีมูลค่าสูงกว่าเมื่อช่วงต้นปีที่ระดับ 1 ล้านล้านดอลลาร์ โดยจากการรายงานราคาเหรียญของ CoinGecko ล่าสุด วันที่ 9 มิถุนายน 2564 ณ เวลา 22.50 น. ตามเวลาประเทศไทย เกิดกระแสการปรับตัวลดลงในตลาดเหรียญคริปโตอย่างหนัก โดยเหรียญ Bitcoin หรือ BTC ปรับตัวลดลงหลุดต่ำกว่าราคา 1 ล้านบาทลงไปแล้ว โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 เมษายน ที่ผ่านมาราคา Bitcoin ปรับตัวบวกขึ้นจนราคาไปแตะที่ 2 ล้านบาท ต่อ BTC นั้่นหมายความว่าภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือน Bitcoin มีมูลค่าลดลงไปแล้วครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้จากรายงานของ Coindesk พบว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ราคาของบิตคอยน์เกิดแรงเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลต่อการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาหรือ QE Tapering ขณะเดียวกันก็เกิดแรงกดดันจากรัฐบาลจีนในการออกมาตรการควบคุมเหมืองขุดคริปโทเคอร์เรนซีและการทำธุรกรรมเกี่ยวกับเหรียญดิจิทัล

ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง Firo เหรียญคริปโตด้าน Privacy และ Satang Pro กระดานเทรดคริปโตแห่งแรกของคนไทย พร้อมด้วย “วิน พรหมแพทย์” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ให้ความเห็นในงานสัมมนาออนไลน์ผ่านClubhouse ประเด็นวิเคราะห์ตลาดเงินดิจิทัลกับธนาคารกรุงศรีอยุธยาในหัวข้อ “Cryptocurrency กระแสหรือไปต่อ” ว่าภาวะปกติที่ตัวเลขขึ้นมานานแล้วจะร่วงลงมาบ้าง และมองเชิงบวกว่าระยะยาวไปต่อได้ ขณะเดียวกันเมื่อตลาดมีความผันผวนมาก ก็ยังมองว่าเป็นโอกาสสำหรับผู้เล่นระยะสั้น อาจทำกำไรรายวันค่อนข้างดีถ้ามีความเชี่ยวชาญมากพอ ส่วนตลาดคริปโตในไทย คนส่วนใหญ่มักมีพฤติกรรมที่จะซื้อแล้วถือยาวไว้เพื่อรอขายในราคาสูงมากกว่าการเล่นระยะสั้น

ขณะที่ วิน พรหมแพทย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เผยว่า จุดนี้ทำให้ต้องกลับมามองว่าเหรียญดิจิทัลจะมีอิทธิพลและฟังก์ชั่นอะไรกับพอร์ทที่เข้าไปลงทุนบ้าง จึงเป็นการกระตุ้นให้ทั้งนักลงทุนและผู้ดูแลพอร์ทต้องหันมาศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง และมั่นใจว่าสกุลเงินดิจิทัลจะกลายเป็นทางเลือกการลงทุนในพอร์ทของอนาคต กลายเป็นสินทรัพย์ทางเลือกนอกเหนือจากตราสารหนี้ หุ้น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำอย่างแน่นอน

 “ความยากของตลาดนี้คือความเป็น Currency ที่ไม่สามารถประเมินราคาได้เหมือนหุ้น ทำให้นักลงทุนยังคงลังเลในการซื้อขายและไม่รู้ว่าจะใช้หลักการใด เนื่องจากมูลค่าขึ้นลงนั้นขึ้นอยู่กับการนำไปใช้หรือความคล่องตัวในการจับจ่ายใช้สอย เช่นสามารถซื้อรถ Tesla ด้วยเงินดิจิทัลได้ ก็ทำให้น่าสนใจมากขึ้น แต่ก็ยังประเมินเป็นมูลค่าจริงได้ยาก หากจะดึงเงินดิจิทัลเข้ามาเป็นหนึ่งในพอร์ต นักลงทุนสถาบันต้องหาวิธีการในการจัดพอร์ทลงทุนนี้และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ”  วิน กล่าว

นอกจากนั้นสิ่งที่หลายคนยังรู้สึกสับสนกับเงินดิจิทัล คือความผันผวนที่คาดเดาได้ยาก และเป็นตลาดที่อ่อนไหวต่อความเห็น และการให้ข่าวในมุมใดก็ตามของคนดังผู้ทรงอิทธิพลด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่จะมีผลต่อราคาและตลาดในทันที ซึ่งถือเป็นภาระหนักอึ้งของผู้จัดพอร์ตที่ต้องบริหารเงินก้อนใหญ่ของประชาชนนำมาแบ่งลงทุนในคริปโต เนื่องจากราคาที่ผันผวนต่อคำประกาศต่างๆ และยังถือเป็นจุดอ่อนและคำตอบว่าทำไมสถาบันการเงินยังไม่กล้าในลงทุนในคริปโตเต็มตัว เนื่องจากต้องมีความชัดเจนทั้งด้านวิธีการบริหารจัดการ กรอบข้อกำหนด และกฎหมายกับสถาบันที่ดูแลด้านการเงินต่างๆ อีกทั้งยังต้องมองถึงวิธีการบริหารพอร์ต ให้มีประสิทธิภาพเพื่อตอบคำถามนักลงทุนให้ได้ด้วย ซึ่งในอนาคตมองว่าสถาบันการเงินจะเปิดรับสินทรัพย์เงินดิจิทัลมาลงทุนมากขึ้น

ทั้งนี้ ยังมีประเด็นความย้อนแย้งของหน่วยงานการเงินประเทศต่างๆ ที่ออกมาต่อต้านคัดค้านสกุลเงินดิจิทัล ขณะเดียวกันก็ศึกษาแนวทางสร้างสกุลเงินดิจิทัลของตนเองด้วย เพราะต้องยอมรับว่ามันอาจส่งผลกระทบกับอำนาจทางการเงิน ระบบโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศ หลายประเทศจึงมองว่าเงินดิจิทัลเป็นทั้งโอกาสและจุดอ่อน ส่วนที่รัฐออกมาทำสกุลเงิน Government Coins เองก็ถือเป็นการศึกษาผลลัพธ์เทียบกับเงินตรารูปแบบเดิมและความเป็นไปได้ทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่างๆ ก่อนที่จะประกาศความชัดเจนว่าจะเดินหน้าต่อกับ Cryptocurrency ในทิศทางใด

ทั้งนี้ กระบวนการคิดตัดสินใจก่อนการลงทุนใน Cryptocurrency นั้น ในอนาคตเงินดิจิทัลจะเป็นทางเลือกหนึ่ง จึงต้องทำความเข้าใจถึงรูปแบบก่อนว่าเงินดิจิทัลมีความเป็นสกุลเงินและการแลกเปลี่ยนมากกว่ารูปแบบการลงทุนในกิจการที่ผลิตเพื่อมีกำไร และไม่เหมือนสินทรัพย์อื่นที่มีการจ่ายดอกเบี้ย เงินปันผล อีกทั้งธรรมชาติของเงินดิจิทัลในตอนนี้มีความผันผวนและหวือหวามาก เพราะฉะนั้นจึงไม่แนะนำให้ทุ่มมากจนเกินไป ไม่ควรไปเสี่ยงหมดหน้าตัก

“การลงทุนสินทรัพย์ทางเลือกอย่าง อสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานหรือทองคำนั้น จะเห็นได้ว่าคำแนะนำในการลงทุนก็คือควรเป็น 15-20% ของเงินลงทุนทั้งหมด ดังนั้นหากจะนำมาลงทุนในคริปโตควรอยู่ที่ 5% ในเบื้องต้นเพื่อเรียนรู้ก่อนใส่เพิ่มเข้าไป ซึ่งรูปแบบการลงทุนในเงินดิจิทัลนั้น ควรลงทุนในการซื้อขายโดยตรงมากกว่าลงทุนในบริษัทที่ลงทุนในคริปโต เพราะอาจมีข้อมูลเบื้องลึกที่นักลงทุนยังไม่รู้”

ปรมินทร์ อินโสม กล่าวเสริมถึงสไตล์ในการลงทุนซื้อขายคริปโตในประเทศไทยนั้น สามารถวิเคราะห์ด้วยการสังเกตและใช้ประสบการณ์ของแต่ละคน อย่างกรณีไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาเสริมให้ราคาขึ้นไปอีกแล้ว นั่นก็อาจทำให้ราคาดิ่งลงได้ แต่สิ่งสำคัญที่อยากให้นักลงทุนใส่ใจคือรูปแบบการเก็บรักษาเงินดิจิทัลที่ปลอดภัย จึงต้องเรียนรู้และเข้าใจในเทคโนโลยีนี้ด้วย ซึ่งการเข้ามาศึกษาให้ลึกขึ้นจะช่วยส่งเสริมให้คนมั่นใจในการลงทุนเงินดิจิทัลมากขึ้น

ด้าน พีรเดช ตันเรืองพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัพบิต เอ็กซ์เชนจ์ (ประเทศไทย) จำกัด (Upbit Thailand) มองว่าตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในประเทศไทยหากเทียบกับตลาดต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย ถือว่าไทยคึกคักมาก สะท้อนจากข้อมูลการเปิดกระเป๋าเงินดิจิทัลอย่าง Metamask มีรายงานว่าคนไทยใช้ Metamask สูงเป็นอันดับ 4 ของโลก

“จากยอดใช้กระเป๋า MetaMaskมองว่าจริงๆ แล้วไทย ค่อนข้างตื่นเต้นเรื่องคริปโทเคอร์เรนซีมาก ขณะที่ภาคธุรกิจเองก็แข่งขันกันรุนแรง เลยคิดว่าตอนนี้ถึงแม้ราคาบิตคอยน์จะปรับตัวลงมามาก แต่ Fundamental ในการทำธุรกิจ หรือคิดผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มีอยู่ตลอด” พีรเดชกล่าว

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน มองว่า การจะเล่นสั้นหรือเล่นยาวเป็นเรื่องส่วนบุคคล ส่วนตัวเขามองว่าการเล่นเกมยาวๆ เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าสนใจมากกว่า เนื่องจากการเทรดในระยะสั้น นักเทรดเหรียญมักเจอกับความผันผวนที่รุนแรง

“สิ่งที่คนในอุตสาหกรรม Cryptocurrency นิยมใช้กันก็คือ จะไม่มองที่เงินต้นทุนว่าซื้อ Bitcoin ไปแล้วเป็นจำนวนเท่าไหร่ แต่จะมองในแง่ของการเพิ่มปริมาณ Bitcoin ในมือ ล่าสุด BitUpก็ได้เทรดคู่ CryptoกับCrypto แล้ว ซึ่งจะทำให้เป็นลักษณะของการเพิ่มจำนวนเหรียญBitcoin มากกว่า นั่นคือการเล่นเกมยาว ขณะเดียวกันสำหรับผู้ลงทุน อย่างแรกต้องทำความเข้าใจว่าการที่ Bitcoin มีความผันผวน ดังนั้นไม่จำเป็นที่จะต้อง Cut Loss หรือรีบซื้อ และหนึ่งในกลยุทธ์ที่เวิร์คที่สุดในตลาดก็คือการถือยาว ” พีรเดชกล่าว

นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนเน้นคุณค่า หรือ Value Investor กล่าวว่า จากภาพรวมตลาดการที่ Bitcoin และเหรียญ Cryptocurrency ต่าง ๆ ปรับตัวลดลงค่อนข้างรุนแรงไม่น้อยกว่า 15% โดยเฉลี่ย ตามหลังดัชนีหุ้นโลกที่ตกกันกระหน่ำช่วงที่ผ่านมา เพราะการประกาศว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐกำลังพุ่งพรวด ซึ่งจะมีผลกระทบกับอัตราดอกเบี้ยและเม็ดเงินที่อาจจะถูกถอนออกไปจากตลาดหุ้น จะทำให้หุ้นตกลงมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่กรณีของเหรียญคริปโตเฉพาะอย่างยิ่งBitcoin นั้น สิ่งที่ทำให้ตกลงมาแรงยิ่งกว่าตลาดหุ้นมากนั้นเกิดจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่เกิดพร้อมกันเริ่มตั้งแต่การแถลงของElon Muskว่าจะไม่สนับสนุนBitcoin เพราะส่งผลกระทบระบบนิเวศน์ทำลายสิ่งแวดล้อมโลกอย่างมาก

เนื่องจากการขุดหรือทำเหมือง Bitcoin ใช้พลังงานไฟฟ้ามหาศาล พร้อมกับการประกาศยกเลิกรับBitcoin ในการซื้อขายรถTesla ทำให้นักเทรดเหรียญและประชาชนทั่วไปตกใจเนื่องจากก่อนหน้านี้เชียร์ Bitcoin จนออกนอกหน้าและเข้าไปซื้อลงทุนด้วยเงินก้อนโต

ขณะปัจจัยที่ 2 คือรัฐบาลสหรัฐเริ่มเข้มงวดกับการเก็บภาษีกำไรจากการขายคริปโตเคอเรนซี่ โดยเฉพาะที่มีมูลค่ารายการเกิน 10,000 เหรียญหรือ 300,000 บาท โดยการบังคับให้คนเล่นต้องรายงานต่อสรรพากร ทำให้นักลงทุนรายใหญ่ต้องคิดหนักถ้าจะลงทุนในเหรียญเหล่านี้ในระยะสั้นต่อไป เพราะถ้ากำไรต้องจ่ายภาษี

“สุดท้ายปัจจัยที่น่าจะกระทบรุนแรงที่สุด นั่นคือรัฐบาลจีนประกาศ “แบน” Bitcoin และเหรียญ Cryptocurrency ทั้งหลาย ไม่ให้สถาบันการเงินและธุรกิจเกี่ยวข้องกับเงินดิจิตอลเหล่านี้ ตลอดจนถึงให้เสิร์ชเอนจิ้น และ โซเชียลมีเดียต่างๆปิดกันการเข้าถึงสิ่งเหล่านั้น หรือก็คือ “ห้ามรับเหรียญดิจิทัลเหล่านั้นในการซื้อขายหรือทำธุรกรรมต่าง ๆ เพราะเกรงว่ามันจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนกับระบบการเงินของประเทศ” ซึ่งนั่นหมายความว่า ตลาดที่ใหญ่มากน่าจะเป็นอันดับสองของโลกในเรื่องของการลงทุนและอันดับหนึ่งในแง่ของการ “ขุด” Bitcoin จะ “หายไป”

ดังนั้น Bitcoin และเหรียญCryptocurrency ต่าง ๆ จึงถูกเทขายจนราคาของ Cryptocurrency เริ่มทยอยตกลงมาต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อ Bitcoin เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน จากที่เคยสูงถึง 1.8 ล้านบาทเมื่อต้นเดือนพฤษภาคม 2564 ซึ่งกลายเป็น “วิกฤติเหรียญคริปโต” ที่บูมเป็น “ฟองสบู่” จากราคาเหรียญละ 300,000 บาท เมื่อ 1 ปีที่แล้วกลายเป็น 2 ล้านบาทในเดือนเมษายนปีนี้ และตกลงมาเหลือ 1.1-1.2 ล้านบาท หรือเป็นการตกลงมาถึง 40% ในเวลาเพียงเดือนเดียว”

ขณะเดียวกันนักลงทุนรุ่นใหม่ของไทยจำนวนมากอาจทะลุ “ล้านคน” ที่เข้ามาเล่นBitcoin และCryptocurrencyอื่น ๆ ในช่วงที่เหรียญเหล่านี้ฮือฮาสุดขีดช่วง 6-7 เดือนที่ผ่านมา น่าจะต้องขาดทุนอย่างหนัก เช่นเดียวกับคนหนุ่มสาวทั้งโลกโดยเฉพาะคนอเมริกันที่ “แห่” กันเข้ามาลงทุนทั้งในตลาดหุ้นและตลาดเหรียญคริปโตต่าง ๆ ที่ “เจ็บตัว” ยิ่งกว่านักเล่นชาวไทย น่าจะเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนที่เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดว่า การ “ทำเงินแบบง่าย ๆ” โดยการเข้าไปเล่นอะไรที่ดูเหมือนว่าจะง่ายมากในช่วงที่ผ่านมานั้น เป็นเรื่องที่ “ยากมาก” จริงอยู่ที่ว่าราคาบิตคอยน์ในวันนี้ก็ยังสูงเป็น 4 เท่าของราคาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา และเป็น 10 เท่าของ 1.5 ปีที่ผ่านมาเมื่อCryptocurrency อยู่ที่ 120,000บาท คนเล่นที่ถือ Bitcoin มาตั้งแต่ตอนนั้นก็ยังกำไรมหาศาล และอาจจะกลายเป็นเศรษฐีอยู่ดี ดังนั้น การปรับตัวลงมาของ Bitcoin ช่วงนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้อง “เลิกเล่น” หรือเลิกสนใจการลงทุนในคริปโตเคอเรนซี่ที่ยังไงก็เป็น “อนาคต” ของโลกที่ “หนีไม่พ้น” ดังนั้น คนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยก็น่าจะยัง “สู้” ต่อไป หลายคนอาจจะบอกว่า “วิกฤติคือโอกาส”

“ปรัชญาการลงทุนหลักของผมข้อหนึ่งก็คือ ลงทุนแล้วในระยะยาวจะต้องไม่ขาดทุน หรือถ้าขาดทุนก็ต้องไม่เป็นหายนะ ผมไม่รู้ว่าอนาคตของ Bitcoin และ Cryptocurrency ทั้งหลายจะไปอย่างไรต่อ ผมรู้แต่ว่าการลงทุนในเหรียญเหล่านี้มีความเสี่ยงที่สูงมาก ดังนั้น มันจึงเหมาะกับสภาวะการเงินการลงทุนที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุนที่เป็นการ “เก็งกำไร” ซึ่งก็คือสภาวะที่เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ เงินล้นระบบและคนไม่รู้ว่าจะเอาเงินเก็บไปอยู่ที่ไหนซึ่งก็คือภาวะปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม สภาวะนี้ก็อาจจะกำลังเปลี่ยนแปลงไป แค่ไหนผมก็ไม่รู้ ถ้าไม่มาก คนก็อาจจะเล่นกันต่อไป สภาวะการเก็งกำไรก็จะยังสูงไปอีกนาน ถ้าเป็นแบบนั้น ราคาเหรียญทั้งหลายก็อาจจะกลับมาได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ราคาก็อาจจะยังตกต่อไปได้อีกมาก” นิเวศน์ กล่าว

ความเสี่ยงที่สูงมากของ “เงินดิจิตอล” คือการที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ อาจจะเริ่มเข้ามาควบคุม และการควบคุมนั้นมักจะทำให้ “คุณค่า” หรือประโยชน์ใช้สอยของมันลดลง แต่ เงินดิจิตอลเองนั้นมันมีคุณค่าเพราะกออกแบบไม่ให้มีใครมาควบคุมได้ เมื่อเป็นแบบนี้ “สงคราม” ก็เกิดขึ้น อาจจะดำเนินต่อไปอีกยาวไกลมากและไม่รู้ว่าสุดท้ายใครจะชนะ แค่ “ยกแรก” ก็ได้เห็นแล้วว่าความเสียหายนั้นรุนแรงแค่ไหน

รื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.  ได้มีมติเห็นชอบแนวทางการกำกับดูแลศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยประกาศหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล (ฉบับที่ 11) หรือ กธ. 18/2564 ห้ามให้บริการโทเคนดิจิทัลพร้อมใช้ (Utility Token พร้อมใช้) และคริปโทเคอร์เรนซีตามที่กำหนด พร้อมทั้งกำหนดให้ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (ศูนย์ซื้อขาย) ต้องจัดให้มีข้อกำหนดว่า ในกรณีของโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยศูนย์ซื้อขายหรือเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขาย หากผู้ออกโทเคนดิจิทัลนั้นไม่ทำตาม white paper และหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องในสาระสำคัญ จะเป็นเหตุให้ถูกเพิกถอนออกจากศูนย์ซื้อขายได้ เพื่อให้ความคุ้มครองแก่ผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล โดยกำหนดให้ห้ามศูนย์ซื้อขาย หรือให้บริการ “Utility Token พร้อมใช้” หรือคริปโทเคอร์เรนซี ที่มีลักษณะใดลักษณะหนึ่ง คือ Meme Token เหรียญ ซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์หรือสาระชัดเจนหรือไม่มีสิ่งใดรองรับโดยมีราคาขึ้นอยู่กับกระแสในโลกโซเชียล , Fan Token เหรียญที่เกิดจากกระแสความชื่นชอบส่วนบุคคล Non-Fungible Token หรือ NFT โทเคนดิจิทัลที่เกิดจากการนำเทคโนโลยีมาใช้แสดงความเป็นเจ้าของหรือให้สิทธิในสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือที่เฉพาะเจาะจง โดยไม่สามารถใช้โทเคนดิจิทัลประเภทและชนิดเดียวกัน และจำนวนเท่ากันแทนกันได้ และโทเคนดิจิทัลที่ออกโดยศูนย์ซื้อขายเองหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ซื้อขายเพื่อวัตถุประสงค์ ในการใช้ประโยชน์สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นบน Blockchain

ปรมินทร์ อินโสม ได้ออกมาตั้งคำถามผ่านโซเชียลมีเดีย Facebook ซึ่งแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยกับประกาศของ ก.ล.ต. นัก เพราะมองว่า “ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกัน และถือใบอนุญาตประเภทเดียวกัน ผู้ประกอบกิจการกระดานเทรดควรจะทำได้มาตรฐานเหมือนกัน

อย่างไรก็ตาม ท่าทีตอบโต้ ก.ล.ต. ของแต่ละเว็บเทรดในไทยนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมด ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่า หลังจากหน่วยงานที่กำกับดูแลการลงทุนในประเทศไทยจะออกมาแสดงท่าที ต่อการโต้ตอบของเว็บกระดานเทรดในประเทศไทยอย่างไรบ้าง แต่ที่แน่ ๆ ภาพรวมการเทรดเหรียญคริปโตในไทยขณะนี้กำลังผันผวนอย่างรุนแรงไม่แพ้ตลาดโลกเช่นกัน

ปรมินทร์ อินโสม

พีรเดช ตันเรืองพร

วิน พรหมแพทย์

นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


กำลังโหลดความคิดเห็น