xs
xsm
sm
md
lg

MINT สดใสรับยุโรปเปิดท่องเที่ยว ฮับจีนแกร่ง-ร้านอาหารฟื้นกำไร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



“ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” รับผลดียุโรปเปิดประเทศท่องเที่ยวในกลุ่มประเทศแถบ EU คาดไตรมาส 3 เห็นการฟื้นตัวแข็งแกร่งจากกลุ่ม NH Hotel ขณะกลุ่มร้านอาหารมีกำไรเป็นบวก คาดดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากฮับจีนที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งและออสเตรเลียทยอยปิดสาขาที่ขาดทุนส่งผลให้กำไรสูง โบรกฯ ให้ราคาหุ้น 34-36 บาท

หลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 หนึ่งในหลายธุรกิจที่ได้รับผบกระทบเต็มๆ ก็คือ "โรงแรม" เพราะการเดินทางท่องเที่ยวทั่วโลกแทบหยุดชะงัก ดังนั้น ปี 2563 ถือเป็นปีที่การท่องเที่ยวตกต่ำ ส่งผลให้ความต้องการใช้บริการโรงแรมทรุดตามกัน กอปรกับหลายประเทศประกาศล็อกดาวน์ประเทศตนเองเพื่อป้องกันและฟื้นฟู ดังนั้น ตัวเลขนักท่องเที่ยวและการเดินทางทั่วโลกได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น
 
อย่างไรก็ดี หลังจากมีการค้นพบและผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ออกมา และแทบทุกประเทศทั่วโลกสั่งซื้อวัคซีนเพื่อนำฉีดให้ประชาชน ทำให้ปัจจุบัน วัคซีนได้กระจายไปฉีดให้ประชากรทั่วโลกมากขึ้น โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรปที่ได้ใช้วัคซีนเป็นอันดับต้นๆ ทำให้การเปิดประเทศเริ่มขึ้น แม้ว่าขณะนี้กลุ่มประเทศแถบอียูจะประกาศเปิดประเทศให้ท่องเที่ยวกันเองในกลุ่มอียู ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะอย่างน้อยเศรษฐกิจโลกเริ่มกลับมาขับเคลื่อนบ้างแล้ว แม้จะไม่สู่ปกติก็ตาม

ดังนั้น แม้การเปิดประเทศท่องเที่ยวเพียงเฉพาะกลุ่มอียู แต่อย่างน้อยจะเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการที่มีโรงแรมให้บริการในแถบประเทศดังกล่าว และดูเหมือนจะเป็นปัจจัยที่ดีที่จะมาหนุนการเข้าพักให้เพิ่มขึ้น

บริษัทจดทะเบียนบางแห่งมีเครือข่ายโรงแรมในต่างแดน หนึ่งในนั้นคือ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ที่มีบริษัทลูกอย่าง บมจ.ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป ที่ประกอบธุรกิจร้านอาหารของ MINT ซึ่ง MINT ถือหุ้น 99.73% บมจ.ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิต และ MINT ถือหุ้น 91.35% และ ไมเนอร์ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจโรงแรมและอื่นๆ ซึ่ง MINT ถือหุ้น 100% อย่างไรก็ดี เมื่อมองจากฐานรายได้หลักของ MINT จะมาจากโรงแรมและโรงแรมในยุโรปสัดส่วนถึง 58% คือรายได้ของรายได้กลุ่มโรงแรมของบริษัท

ทั้งนี้ MINT ได้ว่าจ้างให้ "เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป" บริหารงานให้ ขณะที่ "เอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป" ที่มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยว นักธุรกิจในภูมิภาค ซึ่ง 3 ประเทศที่มีรายได้และผลกำไรมากที่สุดของเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป คือ สเปน เนเธอร์แลนด์ และเยอรมนี

ดังนั้น เมื่อประเทศแถบยุโรปเปิดประเทศจะส่งผลต่อการเดินทางตลอดจนการท่องเที่ยวที่จะคึกคักมากขึ้น แม้จะยังมีไม่มากเท่ากับก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 แต่เมื่อระบบขับเคลื่อนจะทำให้กิจกรรมอื่นๆ ตามมา

ช่วงที่ผ่านมา ผลประกอบการ MINT ตกต่ำ เมื่อโควิด-19 ระบาดหนักปลายปี 62 เป็นต้นมา โดยเฉพาะปี 63 ที่ระบาดหนัก หุ้นกลุ่มโรงแรมกลายเป็นหนึ่งจากหุ้นหลายๆ กลุ่มที่โบรกเกอร์ไม่แนะนำให้ลงทุน ทว่า หลังประเทศฝั่งยุโรปหรืออียู ประกาศเปิดประเทศท่องเที่ยวกันเฉพาะกลุ่มประเทศนั้น อย่างน้อยก็ส่งผลดีต่อผู้ประกอบการธุรกิจในแถบดังกล่าวให้คึกคักขึ้นมาจากก่อนหน้า และผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมอย่าง MINT
ย่อมสดใสขึ้นมา

ขณะที่ราคาหุ้น MINT เริ่มขยับเพิ่มขึ้นมาเทรดเหนือ 30 บาท มาแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จากก่อนหน้าราคาหุ้นอยู่ที่ 20 บาทกว่า ซึ่งบางวันราคาหุ้นบวก 1 บาท และราคาปิดเมื่อ 1 มิถุนายนที่ผ่านอยู่ที่ 32.25 บาท มูลค่าซื้อขาย 554.06 ล้านบาท

โบรกฯ ประสานเสียง MINT สดใส ให้ราคา 34-36 บาท

บล.เคทีบีเอสที มีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้น MINT หลัง EU เตรียมประกาศเปิดให้เที่ยวกันเองในยุโรปได้แล้ว แต่นักท่องเที่ยวจะต้องฉีดวัคซีนครบโดส และเป็นวัคซีนที่ WHO ยอมรับคือ Astrazeneca, Johnson & Johnson, Moderna,Pfizer-BioNTech และ Sinopharm และกำลังพิจารณาเปิดให้นักท่องเที่ยวในประเทศที่สามเข้ามาเพิ่มเติมแต่ต้องเป็นที่เป็น safe country ซึ่งอยู่ระหว่างประกาศรายชื่อประเทศและ condition เพิ่ม

ทั้งนี้ เพราะ MINT มีสัดส่วนรายได้ในยุโรปสูงถึงเกือบ 60% ซึ่งการเปิดประเทศดังกล่าวถือว่าเร็วกว่าคาดเพราะส่วนใหญ่ประเมินเป็นช่วงครึ่งหลังปี 64 โดย NH จะได้ประโยชน์มากสุด เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เป็น Local ราว 75-80% และหากเปิดให้ประเทศที่สามเข้ามาเพิ่มเติมได้เร็วก็จะยิ่งทำให้ผลประกอบการของ NH มีโอกาสขาดทุนน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงคงแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายที่ 35.00 บาท อิง DCF (WACC ที่ 7% terminalgrowth ที่ 2.5%) และคาดว่า MINT จะ outperform ต่อเนื่องจากประเด็นข่าวดังกล่าว ขณะที่ valuation ยังถูกกว่ากลุ่มฯ ซื้อขาย 2022E EV/EBITDA ที่ 15x (-1.0SD below 10-yr averageEV/EBITDA) เทียบกับ ERW และ CENTEL ที่ -0.5SD และ average EV/EBITD

บล.ทรีนิตี้ มองการฟื้นตัวของ EU จะเป็นแรงเสริมทัพในการฟื้นตัวของ MINT เพราะ ปัจจุบันโรงแรมในเครือ MINT ได้กลับมาให้บริการ 76% และคาดว่าในช่วงไตรมาส 3 ปีนี้จะห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งจากกลุ่ม NH Hotel จากการเดินทางข้ามประเทศในยุโรปได้

ขณะกลุ่มร้านอาหารมีกำไรเป็นบวกแล้ว และคาดจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากฮับจีนที่มีผลการดำเนินงานแข็งแกร่งและออสเตรเลียได้ทยอยปิดสาขาที่ขาดทุนส่งผลให้ตัราการทำกำไรสูงขึ้น คงคำแนะนำ “Trading” ที่ราคาเป้าหมาย 33.00 บาท จากการอิงผลประกอบการปี 2564 คาดว่าธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังจากที่เริ่มมีการฉีด Vaccine ทั้งในประเทศและที่ยุโรป ซึ่ง MINT มีสัดส่วนรายได้โรงแรมในยุโรปอยู่กว่า 60% ส่งผลให้มองว่าผลประกอบการของ MINT จะฟื้นตัวได้เร็วกว่ากลุ่ม เพราะกลุ่มโรงแรมจะฟื้นตัวได้ดีขึ้นจากรายได้ที่มาจากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ และจำนวนสมาชิก AVC ที่เพิ่มขึ้นมา 5% เทียบปีก่อนละการกลับมาเปิดประเทศของ Maldives ในช่วงเดือน ก.ย.2563 ที่มีอัตราการเข้าพักที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ไตรมาสแรกลดลงเพียง14% จากปีก่อนโดยที่รายได้หลักยังคงมาจากอิตาลีและสเปน ปัจจุบันโรงแรมในเครือ MINT ได้กลับมาให้ บริการ 76% คาดช่วงไตรมาส 3 ปี 64 จะเห็นการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งจากกลุ่ม NH Hotel หลังจากที่บางประเทศในยุโรปเริ่มคลาย Lockdown และสามารถเดินทางข้ามเมืองได้แล้ว

ขณะที่กลุ่มร้านอาหารไตรมาสแรกฟื้นตัวดีจากจีนที่มี TSSG ฟื้นตัวดีจากฐานที่ต่ำช่วง ไตรมาสแรกปี 63 และออสเตรเลียที่ทยอยปิดสาขาที่มีผลประกอบการขาดทุนไป ส่งผลให้ SSSG ดีขึ้นและควบคุมต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งรายได้จากไทยยังคงเป็นสัดส่วนหลักที่ 74% ของรายได้กลุ่มอาหาร และปัจจุบันร้านอาหารในเครือได้กลับมาให้บริการแล้ว 94% คาดว่าธุรกิจกลุ่มท่องเที่ยวจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้นหลังจากที่เริ่มมีการฉีดวัคซีนทั่วโลก Vaccine ทั้งในและต่างประเทศ

บล.หยวนต้า มีมุมมองบวกต่อการฟื้นตัวของอุตฯ การท่องเที่ยวในยุโรปที่จะกลับมาฟื้นตัวเด่นในครึ่งหลังปี 64 เป็นต้นไป จากประกาศผ่อนคลาย Lockdown ตั้งแต่กลางเดือน พ.ค.64 และมีความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนไปมากแล้ว และ MINT จะได้รับประโยชน์โดยตรงเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้ในยุโรปที่สูง อีกทั้งปรับปรุงงบดุลอย่างต่อเนื่อง และจะได้เงินสดจากการทำธุรกรรม Sale and Leaseback/ Manage-back ของโรงแรมในเครือช่วงครี่งปีหลังนี้ เพื่อเพิ่มเงินสดในมือของบริษัทฯ จึงคงคำแนะนำ "ซื้อ" อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี2564 ที่ 36.00 บาทต่อหุ้น และเลือก MINT เป็นหุ้นหลักในกลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม

บล.คันทรี่ กรุ๊ป แนะนำ "ซื้อ" หุ้น MINT ให้ ราคาเป้าหมาย 36 บาท/หุ้น ประเมินในมุมมองเชิงบวกต่อผลประกอบการของบริษัทฯช่วงครึ่งหลังปีนี้ที่จะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากการกลับมาเติบโตในฝั่งยุโรป ซึ่งยุโรปเริ่มคลายล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และมีการเร่งตัวของอัตราการฉีดวัคซีนอย่างมีนัยสำคัญ โดยตั้งเป้าฉีดวัคซีนครอบคลุม 80% ของประชากรภายในเดือน ก.ย.64 จึงปรับประมาณการปี 21-23 ลงจากผลกระทบการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ทั้งในไทยและยุโรปในช่วง ช่วงครึ่งแรกปี 64 แต่ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมายใหม่ปี 65 ที่ 36.0 บาท ด้วยวิธีการ DCF (WACC 7% และ Terminal growth 2%) เทียบเท่า 59.7xPE’22E สนับสนุนจากการฉีดวัคซีนที่เร็วกว่าคาดในหลายประเทศ และการคลายล็อกดาวน์ในยุโรป

บล.เอเซีย พลัส  แนะกลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ ให้แบ่งน้ำหนักไปเน้นสะสมหุ้นเปิดเมือง หรือหุ้นที่มีแนวโน้มการฟื้นตัวที่ชัดเจนในช่วงที่เหลือของปี อย่าง KBANK, CPALL และ MINT เพราะหากกระแสการลงทะเบียนฉีดวัคซีนยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อาจส่งผลให้จำนวนผู้ลงทะเบียนรายใหม่มีสูงกว่าจำนวนวัคซีนที่นำเข้ามา ในบางเดือนได้ เช่น เดือน มิ.ย.2564 ตามแผนจะนำวัคซีนเข้ามา 6 ล้านโดส แต่อาจมีผู้ลงทะเบียน 10 ล้านคน ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าจะเป็นแรงผลัดดันให้รัฐเร่งเดินหน้าจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม โดยเฉพาะวัคซีนทางเลือก เพื่อรองรับความต้องการวัคซีนที่มีอยู่สูง ซึ่งจะช่วยให้กิจกรรมเศรษฐกิจสามารถฟื้นตัวกลับมาได้เร็วขึ้น และเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นเปิดเมือง เช่น กลุ่มสายการบิน (AOT) กลุ่มท่องเที่ยวและโรงแรม (MINT) กลุ่มค้าปลีก (CPALL CRC BJC SPVI) กลุ่มธนาคาร (KBANK BBL) กลุ่มบันเทิง (MAJOR)

โดยมอง MINT ให้ราคา 34.00 บาท เพราะแนวโน้มขาดทุนเริ่มลดลงช่วงครึ่งปีหลังปี64 หลังวัคซีน COVID-19 กระจายครอบคลุมประชากรในยุโรปมากขึ้น เอื้อต่อ NH Hotel ที่ฐานลูกค้าเป็น Domestic ราว 70-75% นอกจากนี้ MINT เตรียมทำ Asset rotation ผ่านสินทรัพย์ของ NH Hotel ช่วงไตรมาส 2-ไตรมาส 3 ปีนี้ เชื่อว่าจะได้รับเงินสดสุทธิอย่างน้อย 200 ล้านยูโร ช่วยเสริมสถานะการเงินของ NH Hotel แข็งแกร่งขึ้น อีกทั้งราคาหุ้น MINT ยัง Laggard SET Index โดยตั้งแต่ เม.ย.64 จนถึง 27 พ.ค.64 ปรับตัวลง 1.6% มากกว่า SET ที่ปรับตัวลง 0.2% ซึ่งถือว่าตอบรับปัจจัยลบมากพอสมควร

ทั้งนี้ ไตรมาสแรกปี 64 MINT มีผลขาดทุนสุทธิ 5.2 พันล้านบาท เพราะหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงทวีปยุโรปและไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายและการปิดประเทศท่ามกลางการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ ขณะไตรมาสแรกปี 63 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผลการดำเนินงานของ MINT อย่างไรก็ตาม แนวโน้มระยะกลางถึงระยะยาวของบริษัทยังคงแข็งแกร่ง จากอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ซึ่งจะนำไปสู่การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยขณะนี้ MINT ยังคงให้ความสำคัญในการเพิ่มสภาพคล่องและการบริหารจัดการฐานะทางการเงินเพื่อเสริมสร้างเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ท้าทายและยืดเยื้อ

มุ่งรัดเข็มขัด เพิ่มสภาพคล่องเงินแกร่ง

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT กล่าวว่า แม้ว่าสถานการณ์ทั่วโลกจะยังคงมีความผันผวน แต่เริ่มเห็นสัญญาณเชิงบวกของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคทั่วโลก ในส่วนของ MINT ก็มีธุรกิจที่มีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะ “ไมเนอร์ ฟู้ด” สร้างผลกำไรต่อเนื่องเพราะมาตรการการควบคุมค่าใช้จ่ายและการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งของการบริโภคภายในจีน อีกทั้งผลการดำเนินงานของกลุ่มโรงแรมในออสเตรเลียและมัลดีฟส์ของไมเนอร์ โฮเทลส์ยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

โดย ไมเนอร์ ฟู้ด มีกำไรจากการดำเนินงานไตรมาสแรกปีนี้ 160 ล้านบาท พลิกฟื้นจากไตรมาส 1 ปี 63 ซึ่งมีผลขาดทุนสุทธิ 97 ล้านบาท โดยกลุ่มธุรกิจร้านอาหารในจีนและออสเตรเลียยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตของยอดขายต่อร้านเดิมที่กลับมาเป็นบวกใน จากการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางใน 2 ประเทศดังกล่าว แต่กลุ่มธุรกิจร้านอาหารในไทยได้รับผลกระทบเชิงลบจากการระบาดของโรค COVID-19 ระลอกสอง

ขณะที่ ไมเนอร์ โฮเทลส์  ยังคงเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปและไทย จากการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ระลอกใหม่ อย่างไรก็ตาม กลุ่มโรงแรมในมัลดีฟส์และออสเตรเลียยังฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 63 โดยรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในไตรมาส 1 ปี 64 เข้าใกล้ระดับก่อนการระบาดของโรค COVID-19 อีกทั้ง รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่แข็งแกร่ง ส่งผลให้ธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมสามารถสร้างผลกำไรสุทธิติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 2

ทั้งนี้ MINT ยังคงมุ่งมั่นในการรักษาสภาพคล่องรวมถึงมาตรการการลดค่าใช้จ่ายและการลงทุนเพื่อลดกระแสเงินสดจ่าย โดยไตรมาส 1 ปีนี้มีกระแสเงินสดจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 1.1 พันล้านบาท และมีเงินสดในมือ 2.1 หมื่นล้านบาท รวมถึงวงเงินสินเชื่อ 2.1 หมื่นล้านบาท คาดเพียงพอสำหรับการดำเนินงานต่อไปได้อีกกว่า 2 ปี และคาดจะเห็นการฟื้นตัวของการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ ช่วงครึ่งหลังปี 2564 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีสถานะเงินสดแข็งแกร่งขึ้น

นอกจากนี้ MINT ยังคงมุ่งบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุกและเชิงกลยุทธ์ โดยการหมุนเวียนสินทรัพย์ รวมถึงการออกใบสำคัญแสดงสิทธิเพิ่มเติมได้ผ่านการอนุมัติจากผู้ถือหุ้นของ MINT โดยเงินที่จะได้รับจากการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ฐานะทางการเงินอีก 1 หมื่นล้านบาท ในช่วง 3 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ MINT มีแผนที่จะออกหุ้นกู้ 6 พันล้านบาท ตามแผนการบริหารจัดการหนี้สินและสภาพคล่อง

โดย MINT คาดว่าความท้าทายจากการระบาดของโรค COVID-19 และคาดว่าประชากรยุโรป 70% จะได้รับการฉีดวัคซีนภายในเดือนกันยายน 2564 ซึ่งจะส่งผลให้มีการเปิดพรมแดนระหว่างประเทศ และผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางตั้งแต่ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมหรือต้นเดือนมิถุนายน และเนื่องจากธุรกิจในทวีปยุโรป ผ่านการบริหารโดยเอ็นเอช โฮเทล กรุ๊ป เป็นสัดส่วนหลักของธุรกิจโรงแรม ไมเนอร์ โฮเทลส์จึงจะได้รับประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวดังกล่าว ส่วนไมเนอร์ ฟู้ดจะยังคงมุ่งยกระดับบริการจัดส่งอาหาร ผลิตภัณฑ์ใหม่ โปรแกรมความภักดี และการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ในทุกกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเพื่อเพิ่มยอดขาย

"บริษัทยังคงระมัดระวังในการบริหารจัดการกระแสเงินสดและสภาพคล่องผ่านมาตรการการลดค่าใช้จ่ายและการลงทุนต่อไป อีกทั้งบริหารจัดการฐานะทางการเงินเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยมองหาวิธีเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของฐานะทางการเงิน พร้อมกับเปิดให้บริการในสภาวะวิถีชิวิตใหม่ (New Normal)"





กำลังโหลดความคิดเห็น