ช่วงนี้มีหุ้นร้อนๆ ราคาพุ่งขึ้นอย่างหวือหวาอยู่หลายตัว และหนึ่งในนั้นคือ หุ้นบริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XPG
หุ้น XPG วิ่งมาราธอนมาเกือบ 4 เดือนเต็ม จากราคาประมาณ 1 บาท ถูกลากขึ้นมาปิดล่าสุดที่ 11 บาท และจากหุ้นที่ถูกเมิน มูลค่าการซื้อขายวันละประมาณ 1 ล้านบาท กลายเป็นหุ้นที่นักลงทุนแห่เข้าเก็งกำไร มูลค่าการซื้อขายขยับขึ้นเป็นวันละหลายร้อยล้านบาท
จุดเปลี่ยนของหุ้นตัวนี้เกิดขึ้นจากการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่และการเปลี่ยนผู้บริหารบริษัท โดยกลุ่ม นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เข้ามาซื้อหุ้นจาก นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ จำนวน 100 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 6.047 ของทุนจดทะเบียน ในราคาหุ้นละ 1.60 บาท
ข่าวการซื้อขายหุ้นระหว่างนายสุเทพ กับกลุ่ม นายระเฑียร แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์ ช่วงพักการซื้อขายบ่ายวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564 แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือ
ราคาหุ้น XPG ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้เปลี่ยนชื่อ ยังเป็นหุ้นบริษัท ซีมิโก้ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ ZMICO ได้พุ่งทะยานขึ้นไปก่อนหน้า ซึ่งน่าจะมีการใช้ข้อมูลภายในแสวงหาประโยชน์จากการซื้อขายหุ้น หรืออินไซเดอร์เทรดดิ้ง
แต่ไม่มีรายงานว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้เข้าไปตรวจสอบอินไซเดอร์เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เอารัดเอาเปรียบนักลงทุนทั่วไป
ราคาหุ้น XPG เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาปิดที่ 1.01 บาท มูลค่าซื้อขายเพียง 5 แสนบาทเศษ แต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ เริ่มมีแรงซื้อเข้ามาไล่เก็บหุ้น จนราคาขยับขึ้นไปปิดที่ 1.13 บาท มูลค่าซื้อขายขยับขึ้นเป็น 11.51 ล้านบาท และมีการไล่ราคาหุ้นจนบวกติดต่อ 12 วันทำการ ก่อนขึ้นมาปิดที่ 2.32 บาท ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์
แม้จะมีการพักปรับฐานแต่เกิดขึ้นเพียงช่วงสั้น หลังจากนั้น XPG ก็วิ่งต่อ จนวันที่ 1 มิถุนายน ขยับขึ้นมาปิดที่ 11 บาท ซึ่งนับจากจุดปิดวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ราคาเพิ่มขึ้น 9.99 บาท หรือเพิ่มขึ้น 989.10%
ตลอดทางที่ XPG ถูกลากขึ้นมา ตลาดหลักทรัพย์พยายามดับความร้อนแรง โดยประกาศใช้มาตรการกำกับการซื้อขายรวม 6 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 19 กุมภาพันธ์ ครั้งที่สอง วันที่ 2 มีนาคม ครั้งที่สาม วันที่ 18 มีนาคม ครั้งที่สี่ วันที่ 8 เมษายน ครั้งที่ห้า วันที่ 29 เมษายน และครั้งที่หก วันที่ 20 พฤษภาคม
แต่การใช้มาตรการกำกับการซื้อขายสยบหุ้น XPG ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะราคายังวิ่งต่อ แม้บริษัทฯ จะออกมาชี้แจงว่า บริษัทไม่มีพัฒนาการใดที่ส่งผลต่อราคาหุ้น ในทุกครั้งที่ตลาดหลักทรัพย์สอบถาม
อย่างไรก็ตาม วันที่ 14 พฤษภาคม คณะกรรมการ XPG ได้จัดประชุม โดยมีมติเพิ่มทุน นำหุ้นใหม่ จำนวน 1,035,338,000 หุ้น เสนอขายบุคคลในวงจำกัด 3 ราย ในราคาหุ้นละ 4.10 บาท จากราคาพาร์ 50 สตางค์
บุคคลในวงจำกัด 3 ราย ที่เสนอขายหุ้นใหม่ประกอบด้วย บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI จำนวน 403,379,000 หุ้น รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,653,853,900 บาท
บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 268,918,000 หุ้น วงเงินรวม 1,102,563,800 บาท
และนายมงคล ประกิตชัยวัฒนา จำนวน 363,041,000 หุ้น รวมเป็นเงิน 1,488,468,100 บาท
คณะกรรมการ XPG ยังมีมตินำหุ้นใหม่จำนวน 5,378,379,344 หุ้น จัดสรรให้ผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 2 หุ้นใหม่ ในราคาหุ้นละ 50 สตางค์
วัตถุประสงค์การเพิ่มทุนครั้งนี้เพื่อขยายธุรกิจ ทั้งธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจลงทุน ธุรกิจจัดการกองทุน ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ธุรกิจนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลหรือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล
การประกาศเพิ่มทุน เสนอขายหุ้นผู้ถือหุ้นเดิมในราคาเพียง 50 สตางค์และการดึงพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนบุกธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจโทเคนดิจิทัล ยิ่งกระตุ้นให้นักลงทุนแห่กันลุยหุ้น XPG
ขณะที่หุ้น SIRI ของนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ได้รับแรงกระตุ้น ราคาหุ้นพุ่งไม่หยุดตามไปด้วย
ตลาดหลักทรัพย์อาจ “โยนผ้า” ยกธงขาว ยอมแพ้หุ้น XPG ไปแล้ว เพราะเอาไม่อยู่ ไม่รู้จะใช้มาตรการใดดับร้อน และต้องปล่อยให้แมลงเม่าใช้วิจารณญาณกันเอง
ความสำเร็จจากการบริหาร KTC จนมีผลการดำเนินงานที่ดีต่อเนื่อง ราคาพุ่งทะยานกว่า 2,000% ภายในเวลา 8 ปี อาจทำให้นักลงทุนมีความคาดหวังจาก นายระเฑียร
เมื่อเข้ามาเป็นผู้บริหารและถือหุ้นใหญ่ใน XPG ผลประกอบการบริษัทคงมีแนวโน้มที่สดใส จนเกิดการไล่ซื้อชนิดไม่กลัวตาย
ทั้งที่ค่าพี/อี เรโช หุ้นตัวนี้พุ่งขึ้นกว่า 400 เท่า และผลประกอบการขาดทุนติดต่อกันหลายปี
ราคาหุ้น XPG ที่พุ่งขึ้นเกือบ 1,000% ภายในเวลาไม่ถึง 4 เดือน ต้องยอมรับในฝีมือของนายระเฑียร จริงๆ
เพียงแต่หุ้นตัวนี้จะดีจริงหรือไม่ คงไม่ได้พิสูจน์กันภายในเวลา 4 เดือน
และถ้าความคาดหวังจาก“ระเฑียร ศรีมงคล” เป็นเพียงสิ่งที่นักลงทุนจินตนาการกันไปเอง
ใครที่แห่ไล่ซื้อหุ้น XPG และ SIRI ในวันนี้มีสิทธิเจ็บหนักๆ ในวันหน้า