SHARGE เล็งเข้าตลาดหุ้นไทยหลังปี 68 พร้อมวางเป้ารายได้ใน 5 ปีแตะ 3 พันล้านบาท โดยมั่นใจว่า SHARGE จะขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ให้บริการด้านธุรกิจการชาร์จรถ EV ในทุกรูปแบบมากกว่า 30%
นายพีระภัทร ศิริจันทโรภาส กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาร์จ แมเนจเม้นท์ จำกัด (SHARGE) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายหลังปี 68 เพื่อสร้างการเติบโตในอนาคต
"ปัจจุบันเรายังอยู่ระหว่างการสร้างการเติบโตทำให้ยังไม่เข้าเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่มองว่าบริษัทมีเป้าหมายที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นอยู่แล้ว ขณะที่ช่วงที่ผ่านมา ถือว่าได้ผ่านพ้นการดำเนินธุรกิจในรูปแบบสตาร์ตอัปมาแล้ว ซึ่งมีการระดมทุนในระดับ Series A ไปแล้วในการทำแอปพลิเคชัน SHARGE สำหรับรองรับการค้นหา จองสถานีชาร์จและจ่ายเงิน และกำลังมีแผนการระดมทุนในระดับ Series B เพื่อนำเงินไปลงทุนขยายธุรกิจและสถานีชาร์จร่วมกับพันธมิตร" นายพีระภัทร กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี (63-68) จะมีรายได้เติบโตแตะ 3,000 ล้านบาท จากการขายเครื่องชาร์จ 16,000 เครื่อง โดยมีแผนขายให้โครงการที่พักอาศัย 30% และ 70% มาจากยอดขายไฟฟ้าจากหัวชาร์จที่กระจายอยู่ 250 แห่ง ให้บริการหัวชาร์จในแหล่งไลฟ์สไตล์ชั้นนำ ตลอดเส้นทางกรุงเทพฯ หัวหิน พัทยา และเขาใหญ่ ซึ่งมั่นใจว่าจะส่งผลให้ SHARGE ขึ้นเป็นอันดับ 1 ในอุตสาหกรรม ครองส่วนแบ่งการตลาดผู้ให้บริการด้านธุรกิจการชาร์จรถ EV ในทุกรูปแบบมากกว่า 30%
โดยจะดำเนินการผ่านกลยุทธ์ LIFESTYLE CHARGING ECOSYSTEM : NIGHT, DAY, ON-THE-GO โดยร่วมมือกับภาคอสังหาริมทรัพย์ หรือผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยและศูนย์การค้า ผู้ประกอบการรถยนต์ และธุรกิจพลังงาน สร้างระบบนิเวศที่เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายตามพฤติกรรมของผู้บริโภค 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
NIGHT : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่บ้าน ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนสูงสุดหรือคิดเป็น 80% ของผู้ใช้รถ EV ทั้งหมด เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้ใช้งานรถ EV ในสหรัฐฯ จีน และยุโรป พบว่า ส่วนใหญ่จะนิยมชาร์จที่บ้านในเวลากลางคืน เพราะสะดวกและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ประจำวันที่คนส่วนใหญ่จะจอดรถไว้บ้านในเวลากลางคืน รวมถึงการชาร์จตามบ้านมีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ถูกกว่า
DAY : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่จุดหมายปลายทาง เช่น การชาร์จตามศูนย์การค้า แหล่งไลฟ์สไตล์ต่างๆ สถานศึกษา และอาคารสำนักงาน โดยกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%
ON THE GO : กลุ่มผู้ใช้บริการชาร์จที่เน้นการชาร์จที่ต้องการชาร์จตามสถานีชาร์จระหว่างการเดินทางข้ามจังหวัด หรือการท่องเที่ยว ซึ่งกลุ่มนี้จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดคือ 5% ของจำนวนผู้บริโภคทั้งหมด
"เป้าหมายการเติบโตยอดขายของ SHARGE นั้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายของคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ที่คาดว่าจะมีการใช้รถ EV รวมทุกประเภทในปี 68 ที่ 1,055,000 คัน และชาร์จได้ คาดการณ์ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะสนับสนุนให้ตลาดอุปกรณ์ชาร์จรถ EV ขยายไปสู่มูลค่า 1.4 หมื่นล้านบาทในเวลาดังกล่าว และมองว่าการเตรียมการด้านโครงสร้างพื้นฐาน (Ecosystem) เพื่อส่งเสริมการใช้รถ EV เป็นสิ่งสำคัญและเร่งด่วนที่ภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าของภูมิภาคในอนาคตอันใกล้" นายพีระภัทร กล่าว
อย่างไรก็ตาม มองว่าภายใน 5 ปี การใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด มาจากปัจจัยที่เป็นเมกะเทรนด์ของโลกและการสนับสนุนจากภาครัฐ รวมถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นประเด็นที่ทั่วโลกให้ความสำคัญ พร้อมเร่งหาทางลดการสร้างมลพิษ ในประเทศไทยเองพบว่าปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาเรือนกระจกมาจากภาคการขนส่งถึง 27% ประเทศไทยจึงเป็นอีกหนึ่งประเทศที่เกิดการตื่นตัวในการสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านการขนส่งจากรถยนต์สันดาปภายในไปสู่รถ EV โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ขับเคลื่อนเพียงอย่างเดียว (BEV) ที่จะเข้ามาช่วยลดการปล่อยมลพิษจากรถยนต์โดยตรง ซึ่งรถ BEV จะกลายเป็นเป้าหมายหลักของการขับเคลื่อนโลกยุคใหม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญที่จะสนับสนุนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากรถยนสันดาปมาสู่รถ EV อย่างยั่งยืนนั่นคือการมีสาธารณูปโภคพื้นฐานรองรับเพียงพอต่อการใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้งานเข้าถึงหัวชาร์จได้อย่างทั่วถึง
SHARGE เป็นผู้ให้บริการด้านการชาร์จรถ EV อย่างครบวงจร ทั้งในรูปแบบของการจำหน่ายอุปกรณ์ชาร์จสำหรับติดตั้งตามที่อยู่อาศัย และแหล่งไลฟ์สไตล์ รวมถึงการพัฒนาสถานีชาร์จ (EV Charging Station) ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ