เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ กำไรงวดนี้ 140.8 ล้านบาท เติบโต 50.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย ขนส่งสินค้า บริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ และห้องเก็บของส่วนตัวที่ขยายตัวโดดเด่น คาดรายได้ปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% หลังไตรมาส 2 เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการกับวีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต และเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นใน JWD Asia Logistics (Cambodia) หนุนผลงานทั้งปีโดดเด่น
ดร.เอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนระดับอาเซียน เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2564 สามารถทำสถิติรายได้สูงสุดใหม่ มีรายได้รวม 1,147.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 966.1ล้านบาท และมีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 140.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 93.5 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ระดับ 12.3% สูงกว่าไตรมาสแรกของปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 9.7%
ผลการดำเนินงานที่ทำสถิติสูงสุดใหม่มาจากกลยุทธ์การขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายการให้บริการโลจิสติกส์และซัปพลายเชนอย่างครบวงจรในระดับภูมิภาค โดยธุรกิจที่เติบโตได้ดีในไตรมาส 1/2564 ได้แก่ (1) ธุรกิจรับฝากและบริหารสินค้าอันตราย มีรายได้ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 135.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณตู้คอนเทนเนอร์สินค้าอันตรายที่ผ่านเข้าออกท่าเรือแหลมฉบัง ชลบุรี เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 43,200 ตู้ สูงกว่าช่วงไตรมาส 1/2563 ซึ่งยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 (2) ธุรกิจขนส่งสินค้ามีรายได้ 130 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายตัวของบริการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิและสินค้าควบคุมอุณหภูมิแบบด่วนพิเศษ บริการขนส่งข้ามแดนและบริการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ (Project Cargo) (3) ธุรกิจบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ (Logistics Infrastructure) มีรายได้ 32.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ (4) ธุรกิจห้องเก็บของส่วนตัว (Self-Storage) มีรายได้ 12.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 116.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ธุรกิจในต่างประเทศ เช่น Transimex ในประเทศเวียดนาม มีส่วนแบ่งกำไรที่สูงขึ้นถึง 66% และมีการรับรู้รายได้จาก CSLF ผู้ประกอบธุรกิจฟูดเซอร์วิสในไต้หวันที่มีผลการดำเนินการเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน
นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JWD กล่าวว่า มั่นใจว่าปีนี้จะเป็นปีที่ JWD สามารถเติบโตอย่างแข็งแกร่ง แม้มีสถานการณ์โควิด-19 ระบาดระลอกใหม่ แต่ในปัจจุบันการให้บริการโลจิสติกส์และซัปพลายเชนของ JWD ยังไม่ได้รับผลกระทบและบางธุรกิจได้รับผลเชิงบวกจากความต้องการจัดเก็บสินค้าที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทฯ จึงวางเป้าหมายรายได้ปี 2564 เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20%
โดยนับตั้งแต่ไตรมาส 2/2564 เป็นต้นไป บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการกับบริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) ที่มีความเชี่ยวชาญการขนส่งสินค้าแบบมิลค์รัน โดยเฉพาะการให้บริการขนส่งชิ้นส่วนและอะไหล่ยานยนต์จากผู้ผลิตไปยังโรงงานผลิตรถ โดย VNS มีรายได้ในปีที่ผ่านมากว่า 400 ล้านบาท และกำไรกว่า 30 ล้านบาท ซึ่งหลังจากนี้มีแผนขยายธุรกิจให้บริการขนส่งในภูมิภาคอาเซียน ขณะเดียวกันบริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากการเพิ่มสัดส่วนถือหุ้นในบริษัท JWD Asia Logistics (Cambodia) จากเดิมที่รับรู้ส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการลงทุน โดยบริษัทดังกล่าวมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากปีที่ผ่านมาที่มีรายได้กว่า 200 ล้านบาท และกำไรสุทธิกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงจะรับรู้กำไรจากการให้เช่าโครงการคลังสินค้าเจดับเบิ้ลยูดี นวนคร แก่กองทรัสต์ AIMIRT เป็นระยะเวลา 30 ปี
นอกจากนี้ ล่าสุดบริษัทฯ ยังได้เป็นผู้ให้บริการขนส่งวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในประเทศกัมพูชา และด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการจัดส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ บริษัทฯ มีความพร้อมให้บริการขนส่งวัคซีนในประเทศไทย หากมีการนำเข้าหรือผลิตวัคซีนเพิ่มขึ้นในอนาคต
“เรามีความมั่นใจว่าโมเดลธุรกิจในปัจจุบัน ที่มีการขยายเครือข่ายการให้บริการด้านโลจิสติกส์และซัปพลายเชนอย่างหลากหลายและครบวงจรทั้งในและต่างประเทศจะสามารถสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันเรามีกระแสเงินสดและช่องทางการระดมทุนที่หลากหลาย พร้อมขยายการลงทุนและเข้าควบรวมกิจการกับบริษัทที่มีศักยภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท ภายใน 5 ปีข้างหน้า” นายชวนินทร์ กล่าว