"นอร์ทอีส รับเบอร์" แจ้งงบไตรมาส 1 ปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 366.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 511.96% ด้านรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 4,963.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 67.99% จากการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 นอกจากนี้บริษัทปรับเป้าปริมาณการขายยาง เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้น และการขายล่วงหน้า
นายชูวิทย์ จึงธนสมบูรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และยางผสม เพื่อจำหน่ายไปยังผู้ผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ และกลุ่มผู้ค้าคนกลาง ทั้งในและต่างประเทศ เปิดเผยภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 366.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 306.61 ล้านบาท หรือคิดเป็น 511.96% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 59.89 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน 0.227 บาทต่อหุ้น
ด้านรายได้จากการขายรวมอยู่ที่ 4,963.09 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,008.73 ล้านบาท หรือ 67.99% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้จากการขายสุทธิอยู่ที่ 2,954.36 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการขายในประเทศ 3,455.06 ล้านบาท หรือคิดเป็น 69.62% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 135.62% รายได้จากการขายต่างประเทศ 1,508.03 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30.38% ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้น 1.34% โดยมีปริมาณขาย 89,741 ตัน เพิ่มขึ้น 25,713 ตัน หรือ 40.16%
โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้รายได้ในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นมาจากการขยายกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นในส่วนโรงงานยางแท่งแห่งที่ 2 และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยที่สูงขึ้นตามราคาตลาดโลก นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อให้สอดรับกับสภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต ทั้งการลดค่าใช้จ่ายคงที่และลดการใช้พลังงาน ตลอดจนการให้ความสำคัญต่อกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในการฟื้นตัวสูง สะท้อนให้เห็นจากราคาขายเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ยางธรรมชาติของบริษัทฯ
นายชูวิทย์ กล่าวเพิ่มเติมถึงเป้าหมายการเติบโตในอีก 9 เดือนว่า บริษัทมีการปรับเป้าหมายปริมาณการขายยางพาราใหม่ เป็น 440,000 ตัน จากเดิมที่ 410,000 ตัน เนื่องจากบริษัทมีความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นที่สามารถรองรับยอดขาย และตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าจากสิงคโปร์และอินเดีย นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าจะเห็นภาพรวมความต้องการใช้ยางพาราทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2565 จากการที่ทั่วโลกสนับสนุนการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ามีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซพิษไอเสียรถยนต์สู่อากาศนั้น ทำให้ยอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ซึ่งรวมถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ รถยนต์ไฟฟ้าแบบไฮบริด และรถยนต์พลังงานเซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจนทั่วโลกมียอดขายที่เพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ในปลายปี 2564 บริษัทมีแผนจะขยายโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 50,000 ตัน จาก 460,000 ตัน เป็น 510,000 ตัน โดยจะลงทุนซื้อเครื่องจักรประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อรองรับลูกค้าทั้งรายใหม่และรายเก่าที่ต้องการออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับสัดส่วนรายได้ปี 2564 ทางบริษัทยังวางนโยบายการจำหน่ายสินค้าในประเทศและต่างประเทศเป็น 60 : 40 ซึ่งในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศแบ่งเป็น จีน 70% ญี่ปุ่น 20% และอื่นๆ อีก 10% เช่น สิงคโปร์ อินเดีย บังกลาเทศ เป็นต้น โดยมองว่าเป็นอัตราส่วนที่เหมาะสมของลูกค้าในประเทศที่มีการเพิ่มกำลังการผลิตจากการย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีนย้ายมาตั้งโรงงานอยู่ที่ประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และลูกค้าต่างประเทศที่มีความต้องการใช้ยางธรรมชาติอยู่ แต่ปริมาณของผู้ส่งออกยางธรรมชาติในประเทศไทยมีปริมาณลดลง
สำหรับโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนจากก๊าซชีวภาพนั้น เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2564 บริษัทได้เข้าร่วมยื่นเสนอประมูลโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนเพื่อเศรษฐกิจฐานราก (โครงการนำร่อง) ที่ขนาดโครงการ 3 เมกะวัตต์ ภายใต้ บริษัทย่อย เอ็น.อี.พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งถือหุ้นโดย NER โดยบริษัทมั่นใจได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านสำหรับโครงการดังกล่าว