xs
xsm
sm
md
lg

อสังหาฯ เพิ่มพอร์ตรายได้ระยะยาว รับมือยุคต้นทุนพุ่ง-แข่งดุ-ความท้าทายสูง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ค่อยๆซบเซาลงตั้งแต่ปี 2561 ต่อเนื่องจนถึงปี 2562 และถูกซ้ำเติมด้วยการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ลากยาวมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลต่อสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทอสังหาฯทั้งที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และที่อยู่นอกตลาด สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดการปรับตัวครั้งใหญ่ในฝั่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ

โดยทุกรายชะลอแผนการลงทุน และเปลี่ยนจากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม มาพัฒนาโครงการจัดสรรหรือโครงการแนวราบ เพื่อรองรับความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่ส่วนตัวเพิ่มมากขึ้น หลังการมากของโควิด-19 ซึ่งทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากต้องทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ขณะที่บริษัทซึ่งพัฒนาโครง การคอนโดฯเป็นสินค้าหลัก ต้องงัดกลยุทธ์ลดราคา และจัดแคมเปญแรงๆ ระบายสต็อกห้องชุดในมือ เพื่อดึงเงินสดมาไว้ในมือให้มากที่สุด


อย่างไรก็ตาม แม้การลดราคาขาย จัดแคมเปญกระตุ้นและเร่งการตัดสินใจซื้อ แม้จะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถระบายสต็อกได้บางส่วน แต่ก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาระยะยาวที่ดี เพราะขณะที่ต้องลดราคาขายระบายสต็อกนั้น กลยุทธ์ดังกล่าวก็ส่งผลต่อการแข่งขันในตลาดให้สูงขึ้น จนกลายเป็นสงครามราคานอกจากนี้ ปัญหาต้นทุนก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง ต้นทุนแรงงาน ซึ่งเกิดจากการขาดแคลนแรงงาน จากภาวะการระบาดของโควิด-19 รวมถึงต้นทุนที่ดินที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง ยังส่งผลต่อกำไรของบริษัทอสังหาฯให้ลดลง และในอนาคตยิ่งมีแนวโน้มว่าจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับปัจจุบันได้ยากมากขึ้น

ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าวทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ผู้ประกอบกาอสังหาฯรายใหญ่และขนาดกลางพยายามกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และแหล่งรายได้ เข้าสู่ธุรกิจที่สร้างรายได้ระยะยาวให้กับองค์กร โดยการแตกไลน์ธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ๆ เช่น ธุรกิจบริหารการขายและบริหารโครงการ ธุรกิจนายหน้า และเอเจนซี่ หรือตัวแทนขาย แต่ธุรกิจที่น่าจับตาและมีการขยายไลน์ธุรกิจจากกลุ่มบริษัทอสังหาฯมากที่สุด คือ กลุ่มเฮลท์แคร์ หรือWellness ซึ่งได้รับปัจจัยผลักดันจากการนโยบายการผลักดันประเทศไทยให้กลายเป็น เมดิคัลฮับ และธุรกิจพลังงานทดแทน ซึ่งอยู่ในเทรดธุรกิจของโลกในขณะนี้ และเมื่อต้องเผชิญความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทอสังหาฯต้อง “เอาตัวรอด” ด้วยการขยายธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืนทางรายได้

โดย ผู้จัดการรายวัน360 ได้รวบรวมบริษัทอสังหาฯที่แตกไลน์ธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้ระยะยาว ช่วยลดความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจหลักเพียงธุรกิจเดียว ไล่เรียงตั้งแต่ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ "LPN" ซึ่งมีการขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจบริหารอาคาร และรักษาความปลอดภัย โดยได้จัดตั้งบริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด หรือ LPP เพื่อรับงานบริหารโครงการของLPN รวมทั้งขยายไปรับงานบริษัทอสังหาฯอื่น ๆ โดยอาศัยจุดแข็งด้านการบริหารชุมชน ที่เป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จภายใต้สโลแกน “ชุมชนน่าอยู่” จนสามารถขยายขอบเขตการให้บริการไปยังโครงการภายนอกกว่า 50 โครงการ ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทรักษาความปลอดภัย ภายใต้ชื่อ “บริษัท รักษาความปลอดภัย แอล เอส เอส โซลูชั่นส์ (LSS)” ซึ่งเป็นการขยายงานตามแผนกลยุทธ์ขยายธุรกิจบริการให้ครอบคลุม เพื่อสนับสนุนการบริการชุมชนครบวงจร

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งบริษัทที่แตกไลน์ไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โดยจับมือพันธมิตร อย่าง ดิ แอสคอทท์ ลิมิเต็ด หนึ่งในผู้ประกอบการธุรกิจเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ระดับลักชัวรีชั้นนำของโลก เพื่อลงทุนพัฒนา 5 โครงการ ได้แก่ Somerset Rama 9, Ascott Embassy Sathorn, Ascott Thonglor, LYF Sukhumvit 8 และโครงการล่าสุดบริเวณชายหาดพัทยากลาง บนที่ดินขนาด 4 ไร่ มีจำนวนห้องพัก324 ห้อง ซึ่งถือเป็นโครงการไฮไลต์ของปีนี้ที่จะเป็นการลงทุนที่สร้างรายได้ต่อเนื่องให้อนันดาฯในระยาว


บริษัทเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ขยายไลน์ไปจับธุรกิจพลังงาน ภายใต้ บริษัท เสนา โซลาร์ เอเนอร์ยี่ จำกัด ซึ่งให้บริการรับจ้างติดตั้ง โซลาร์เซล ให้กับหน่วยงานหรือองค์กร ที่ต้องการติดตั้งไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของตัวเอง รวมถึงเป็นผู้ลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ในพื้นที่ของเจ้าของพื้นที่เช่น โรงงาน ห้างสรรพสินค้าเพื่อ ขายไฟฟ้าให้กับเจ้าของพื้นที่เองในราคาถูกกว่าการไฟฟ้า นอกจากนี้ เสนาฯ ยังขยายพอร์ตรายได้ระยะยาวไปในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯเพื่อเช่า โดยมีการถือหุ้นในโครงการออฟฟิศบิลดิ้งแอสไพเรชั่น วัน

บริษัทเอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ขยายองค์กรสู่ 3 ภาคธุรกิจใหม่ ได้แก่ บริษัท วาริ จำกัด ดำเนินธุรกิจสร้างระบบนิเวศ ที่สนับสนุนการบริหารจัดการคุณภาพชีวิต บริษัท เคลย์มอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจการพัฒนานวัตกรรมดีไซน์ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่ยังไม่ถูกค้นพบของคนในสังคม และSEAC (เอสอีเอซี) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียนโดยทั้ง3 ภาคธุรกิจใหม่นี้มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาคุณ ภาพชีวิตของคนในสังคมไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นลูกค้าเอพีเท่านั้น

บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) ได้ตั้งบริษัท แสนสิริ ไชน่า จำกัด เพื่อเข้าร่วมลงทุนในบริษัท ฮักส์ อินชัวร์รันซ์ โบรกเกอร์ จำกัด (Hugs) เพื่อขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจนายหน้าประกัน โดยการเข้าลงทุนดังกล่าว ถือว่าเป็นการขยายธุรกิจใหม่เพื่อสนับสนุนธุรกิจหลักของ แสนสิริ

บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจสำนักงานเช่า ธุรกิจอาหารเครื่องดื่มรวมไปถึงธุรกิจทางด้านโรงแรม และยังมีนโยบายที่ต่อยอดธุรกิจไปสู่การสร้างศูนย์การแพทย์เพื่อรองรับพันธมิตร ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีเทคโนโลยีทันสมัยมีความชำนาญเฉพาะทาง เช่น การทำเด็กหลอดแก้วผสมเทียมและการเก็บไข่แช่แข็งซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2565

โดยมีแผนจะร่วมทุนกับพันธมิตร ทางการแพทย์มูลค่ากว่า1,300 ล้านบาท เพื่อตอบโจทย์การดูแลสุขภาพทุกระดับที่เขาใหญ่อำเภอปากช่อง ซึ่งไรมอนแลนด์ ตั้งเป้าจะทำงานร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญผู้ชำนาญทางด้านสุขภาพ เพื่อมอบความสะดวกสบายทางบริการด้านสุขภาพและการนำเทคโนโลยีขั้นสูงที่มีความนำสมัยปรับปรุงใช้สำหรับบริการ รวมถึงการสร้างศูนย์สุขภาพการเจริญพันธุ์ เพื่อให้คำปรึกษาทางด้านการมีบุตรและศูนย์เวชศาสตร์การชะลอวัย ขณะที่ธุรกิจทางด้านอาหารและเครื่องดื่ม จะดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรกลุ่มบ้านหญิง เพื่อขยายธุรกิจอาหารต่อยอดสาขาที่มีอยู่ในสิงคโปร์โดยมีแผนที่จะขยายแฟรนไชส์ร้านอาหารออกสู่ภูมิภาคเอเชีย เช่น ไต้หวัน กัมพูชา จีน

บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายไลน์ธุรกิจให้บริการและการแพทย์โดยได้ก่อตั้ง บริษัท มั่นคงไลฟ์ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์บูรณาการสุขภาพและการแพทย์แบบองค์รวม โดยเริ่มเป็นพันธมิตรกับบริษัท ไวทัลไลฟ์ จำกัด ในเครือ บริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน ) โดยมีเป้าหมายหลักคือกลุ่มลูกค้าพรีเมียมทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ


ด้าน บริษัท ณุศาศิริ จำกัด( มหาชน) เริ่มหันมาขยายการลงทุนศูนย์สุขภาพทั้งในประเทศไทยและประเทศจีนเนื่องจากเห็นโอกาสเติบโตทางธุรกิจดังกล่าวสูงจากการที่คนเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้นซึ่งเน้นการพัฒนาโครงการอสังหาฯควบคู่กับ ศูนย์สุขภาพครบวงจร70% เพื่อตอบสนองเทรนด์การท่องเที่ยวและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคและอีก30% เป็นการพัฒนาที่พัก อาศัยและอื่น ๆ

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้ขยายธุรกิจไปสู่กลุ่มธุรกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ หรือ Non-real estate business โดยภายในปี2568 เมเจอร์ฯ ตั้งเป้าจะกระจายพอร์ตลงทุนสู่ธุรกิจที่ไม่ใช่แค่อสังหาฯ ให้มีสัดส่วนเพิ่มเป็น20% เพื่อให้ เมเจอร์ไม่ต้องพึ่งพาธุรกิจประเภทใดประเภทหนึ่งเพียงอย่างเดียว โดยธุรกิจแรก ที่ได้ขยายไลน์เข้าไปคือ ธุรกิจสุขภาพ (Healthscape) เนื่องจากเห็นถึงแนวโน้มผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและคุณภาพการใช้ชีวิตมากยิ่งขึ้น รวมถึงการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี (Techscape)


ขณะที่ พี่เปิ้ม อย่างบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เป็นอีกรายที่ ต้องปรับโมเดลรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อ ความอยู่รอดในยุคโควิด โดยพัฒนานวัตกรรมเพื่อบาลานซ์พอร์ตช่วยลดความเสี่ยง ด้วยการขยายไลน์ไปใน“ธุรกิจสุขภาพ” ที่เป็นเมกะเทรนด์ระดับโลกในขณะนี้ โดยได้ทุ่มงบประมาณ 5,000 ล้านบาท สร้างโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2564 นี้ ขณะเดียวกัน ในปีนี้ พฤกษาฯได้นำจุดแข็งจากธุรกิจสุขภาพมาต่อยอดธุรกิจอสังหาฯ โดยมีการเปิดตัวโครงการอเวนิว ย่านบางนา จะผสานเรื่องสุขภาพให้บริการลูกบ้านในหลายโครงการแบรนด์ Passorn ,THE PALM, THE PLANT, PRUKSA VILLE ตั้งแต่การป้องกัน รักษา โดยมีรูปแบบอเวนิว3 โซนหลักที่มีสเกลใหญ่ โซนแรกที่บางนา,โซน2 แจ้งวัฒนะ และโซน3 คลอง3 ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดเล็กอยู่ด้านหน้าโครงการ และบริการเนอสซิ่งโฮม 30-40 เตียง

นอกจากนี้ ได้ร่วมทุนใน บริษัท เทพธัญญภา เจ้าของและประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเทพธารินทร์ พระราม 4 เพื่อ เสริมจุดแข็งด้านการดูแลคนไข้เฉพาะทาง ซึ่งจากการร่วมทุนดังกล่าว จะทำให้พฤกษาฯ มีโรงพยาบาลในพอร์ตเป็น 2 โรง มีเตียงรองรับผู้ป่วยกว่า300 เตียง แบ่งเป็น โรงพยาบาลวิมุต 236 เตียง โรงพยาบาลเทพธารินทร์ 100 เตียง สำหรับ โรงพยาบาลวิมุต มีแผนจะเปิดบริการมากกว่า 1 แห่ง โดยเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ และมีกลุ่มธุรกิจย่อยในรูปแบบ “คอมมูนิตี้เฮลท์ฮับ” กระจายอยู่ตามชุมชน ในรูปแบบ คลินิก เนอสซิ่งโฮม และกายภาพ ซึ่งจะเปิดตัวในเดือน พ.ค. นี้

สุดท้ายคือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือORI ซึ่งถือว่าเป็นค่าย ธุรกิจอสังหาฯ ที่มีการขยายไลน์ธุรกิจมากที่สุด โดยล่าสุดได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่2 แห่ง ได้แก่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ พรอมมิเนนท์ จำกัด เพื่อรุกเข้าสู่ธุรกิจการบริหารสินทรัพย์ โดยมีทุนจดทะเบียน25 ล้านบาท และจัดตั้ง บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด เพื่อขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจด้านสุขภาพ โดยมีทุนจดทะเบียน 7.5 ล้านบาท โดยก่อนหน้านั้น

ออริจิ้นฯ ได้เปิดตัว บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ผู้ให้บริการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร โดยมีบริษัทฯ ในเครือ เช่น บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด ให้บริการตัวแทนขายอสังหาฯครบวงจร บริษัท พรีโม เดคคอร์ จำกัด บริการออกแบบตกแต่งภายในอสังหาฯครบวงจร รวมทั้งบริการขนย้ายสิ่งของ เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ภายในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม บริษัท พรีโม แมเนจเม้นท์ จำกัด ซึ่งเน้นให้บริการงานบริหารนิติบุคคลอาคารชุดอย่างครบวงจร บริษัท คราวน์ เรสซิเดนซ์ จำกัด ให้บริการบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ ระดับลักชัวรี่ รวมทั้ง บริการรับฝากขาย ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด ผู้ให้บริการงานรักษาความสะอาดแบบครบวงจร รวมถึง บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด บริหารงานโครงการ และบริหารงานก่อสร้าง โดยทีมวิศวกร และทีมสถาปนิกมืออาชีพ

การขยายไลน์ธุรกิจของบริษัทอสังหาฯ เพื่อเพิ่มพอร์รายได้ระยะยาว เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ จากอดีตจนถึงขณะนี้ นับเป็นเป้าหมายทางธุรกิจที่อยู่ในใจของหลายๆบริษัท แต่มีจะมีสักกี่รายที่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงและมีผลต่อกำไรในการดำเนินธุรกิจ เชื่อว่าจากนี้ไปคงมีบริษัทอสังหาฯ อีกจำนวนไม่น้อยที่ขยายไลน์ไปสู่ธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้างพอร์ตรายๆได้ยังยื่นในอนาคต



กำลังโหลดความคิดเห็น