KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับประมาณการตัวเลข GDP ลงจาก 2.7% เป็น 2.2% ตามการระบาดระลอกใหม่ที่จะกระทบต่อการบริโภคและแผนการเปิดประเทศ โดยปรับลดจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติจาก 1 ล้านคน เหลือ 5 แสนคนในปีนี้ อย่างไรก็ตามในกรณีที่การระบาดยืดเยื้อคาดว่า GDP จะเติบโตได้เพียง 1.8%
โดยการฉีดวัคซีนในไทยถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทำให้เศรษฐกิจไทยยังเสี่ยงหดตัวเพิ่มเติมได้ตลอดทั้งปีจากการระบาดระลอกใหม่หลังจากนี้ที่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้อีก ขณะที่ความสามารถในการรองรับด้านสาธารณสุขอาจถึงขีดจำกัด รวมถึงแผนการนำเข้าวัคซีนของรัฐบาลไทยยังคงฝากความหวังไว้กับวัคซีนจากแหล่งเดียว และท้ายสุดแม้เริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้วแต่การติดเชื้ออาจจะไม่ได้ลดลงในทันที
ดังนั้น หากนโยบายด้านวัคซีนยังไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จในการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ได้ เศรษฐกิจไทยที่ยังมีความเสี่ยงหดตัวจะต้องอาศัยการเยียวยาและแรงกระตุ้นจากนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน ซึ่งจะเป็นเพียงการซื้อเวลาและแบ่งเบาภาระภาคธุรกิจและครัวเรือนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทางออกสำคัญในเวลานี้ คือ การเร่งจัดหาวัคซีนให้คนไทยให้ได้เร็วที่สุด
โดยปรับการคาดการณ์ตัวเลข GDP จาก 2.7% เป็น 2.2% หลังการระบาดระลอกใหม่ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนในช่วงไตรมาสที่ 2 ชะลอตัวลงจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของภาครัฐ และความวิตกกังวลของผู้บริโภค สถานการณ์การระบาดในระลอกนี้รุนแรงกว่าระลอกที่ผ่านมาในเดือนมกราคม จากจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่สูงกว่าในรอบก่อนมาก ในครั้งนี้ โดย KKP Research คาดการณ์ว่าจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 เดือนในการควบคุมการแพร่ระบาด
ยิ่งไปกว่านั้น ประเมินว่าการประมาณการเศรษฐกิจยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูงโดยมีความเสี่ยงที่จะลดต่ำลงได้มากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 และมาตรการที่จะนำมาใช้เพื่อควบคุมการติดเชื้อ
ขณะที่ภาคธุรกิจยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่น่ากังวลมากที่สุดเนื่องจากได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดและการเปิดรับนักท่องเที่ยวที่ล่าช้าจึงปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวจาก 1 ล้านคนเหลือเพียง 5 แสนคนในปี 2564 จากวัคซีนที่มีการฉีดได้ค่อนข้างช้า การระบาดระลอกใหม่ของประเทศไทย และการกลายพันธุ์ของเชื้อไวรัส ที่อาจทำให้นักท่องเที่ยวขาดความมั่นใจในการเดินทางระหว่างประเทศ คาดว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวจะยังคงได้รับผลกระทบอย่างหนักในปีนี้ และจะมีโรงแรมจำนวนมากโดยเฉพาะโรงแรมขนาดเล็กที่จะไม่สามารถเปิดกิจการต่อไปได้
**วัคซีนหนุนเศรษฐกิจโลกและการส่งออก**
การฉีดวัคซีนในหลายประเทศทำได้เร็วและหลายประเทศจะสามารถกลับมาเปิดเศรษฐกิจได้เต็มที่ภายในปีนี้ ในปัจจุบันประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาสามารถฉีดวัคซีนได้มากถึงวันละกว่า 3 ล้านโดส ทำให้คาดการณ์ได้ว่าประเทศสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) ภายในไตรมาสที่ 2-3 ของปีนี้ ในขณะที่ฝั่งยุโรปคาดว่าจะเข้าสู่ภาวะภูมิคุ้มกันหมู่ในช่วงไตรมาสที่ 3-4 หมายความว่าประเทศเศรษฐกิจหลักหลายแห่งจะสามารถกลับมาเปิดประเทศได้เต็มที่ได้อีกครั้งภายในปีนี้ และจะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการส่งออกของไทย
จากสถานการณ์ในปัจจุบัน KKP Research คาดว่าในระยะสั้นนโยบายการคลังจะยังคงเน้นการใช้มาตรการเยียวยาประเภทเงินโอนต่อไปอีก โดยจะใช้งบประมาณจากวงเงิน พ.ร.ก.เงินกู้ฉุกเฉิน 1 ล้านล้านบาท ที่ยังคงเหลือประมาณ 2.5 แสนล้านบาทภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ และคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงินจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.5% ไปตลอดปีนี้ ถึงแม้จะมีการระบาดระลอกใหม่ที่กระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่มาตรการส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การใช้มาตรการด้านสินเชื่อและการปรับโครงสร้างหนี้
อย่างไรก็ดี ในสถานการณ์ที่การฉีดวัคซีนของไทยทำได้ช้ามากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ และอัตราการฉีดวัคซีนของไทยยังอยู่ที่เพียงราว 1% ของประชากรไทย นโยบายการเงินและการคลังจะเป็นเพียงการซื้อเวลาและแบ่งเบาภาระภาคธุรกิจและครัวเรือนได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ทางออกสำคัญ ณ เวลานี้คือความพยายามจัดหาและบริหารทรัพยากรด้านสาธารณสุขเพื่อควบคุมการระบาด พร้อมกับการเร่งจัดหาและฉีดวัคซีนให้คนไทยให้ได้เร็วที่สุด