"ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น" นักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ตอบรับดีเยี่ยมในการออกหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2564 มูลค่าเสนอขายรวม 4,000 ล้านบาท ยอดจองล้นกว่า 4 เท่า เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ สะท้อนถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง โครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง และแผนการขยายธุรกิจที่ชัดเจน ด้าน Group CEO “จรีพร จารุกรสกุล” มั่นใจปี 2564 บริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง
น.ส.จรีพร จารุกรสกุล ประธานคณะกรรมการบริษัท และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA Group เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายใหญ่ในการเสนอขายหุ้นกู้ ครั้งที่ 2/2564 มูลค่ารวม 4,000 ล้านบาท หลังจากที่เปิดเสนอขายระหว่างวันที่ 19-21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา ผ่านผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ 3 รายประกอบด้วย ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารยูโอบี ซึ่งการเสนอขายหุ้นกู้ดังกล่าวได้แบ่งเป็น 3 ชุด โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 จำนวน 1,000 ล้านบาท มีอายุ 2 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.30 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2566 ส่วนชุดที่ 2 จำนวน 2,000 ล้านบาท อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 2.73 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2567 และหุ้นกู้ชุดที่ 3 จำนวน 1,000 ล้านบาท อายุ 5 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่
ร้อยละ 3.50 ต่อปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี พ.ศ.2569 ซึ่งสะท้อนถึงความความเชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทุนที่มีต่อดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
ทั้งนี้ เป็นผลมาจากแผนการขยายธุรกิจที่มีความต่อเนื่องและชัดเจน ความมุ่งมั่นในการบริหารงาน ปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง รวมถึงโครงสร้างทางการเงินที่มั่นคง การมีวินัยทางการเงิน และการบริหารจัดการฐานะทางการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ตอบโจทย์ความน่าเชื่อถือของกลุ่มนักลงทุน สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ในครั้งนี้ บริษัทฯ จะนำเงินไปชำระคืนหนี้เดิม และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงาน
ทั้งนี้ หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ A- เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 โดยอันดับเครดิตสะท้อนสถานะในการแข่งขันที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ ในธุรกิจโลจิสติกส์ และธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงฐานรายได้ประจำจำนวนมากจากธุรกิจสินทรัพย์ให้เช่า ธุรกิจให้บริการสาธารณูปโภคและไฟฟ้า ตลอดจนความยืดหยุ่นทางการเงินจากการขายสินทรัพย์เข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) อีกด้วย
น.ส.จรีพร จารุกรสกุล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2564 มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้น ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยังคงเดินหน้าพัฒนาใน 4 กลุ่มธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจโลจิสติกส์ที่สดใส มุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าให้การบริการผ่านการผสานรวมเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซ การให้บริการด้านโลจิสติกส์ เฮลท์แคร์ ตลอดจนอุตสาหกรรมอื่นๆ ที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เตรียมจ่อขยายพื้นที่เพิ่มเติมรองรับการลงทุนที่เพิ่มขึ้น หลังจากการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกทั้งเดินหน้าขยายการก่อสร้างเขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล โซน เหงะอาน ในเฟส 2 และเฟส 3 หลังจากการได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากนักลงทุนต่างชาติ พร้อมขยายนิคมอุตสาหกรรมในเวียดนาม แห่งที่ 2 ในจังหวัดทัญฮว้า (Thanh Hoa) ในลำดับต่อไป
ด้านธุรกิจสาธารณูปโภค ยังคงพัฒนาและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์เพื่อให้บริการโซลูชันน้ำหลากหลายรูปแบบ ได้แก่ Wastewater Reclamation และการผลิตน้ำที่ปราศจากแร่ธาตุ (Demineralized Water) สำหรับลูกค้าภายในและภายนอกนิคมอุตสาหกรรม และในส่วนของธุรกิจไฟฟ้าจะขยายธุรกิจด้วยการพัฒนาโซลูชันพลังงานหมุนเวียน โดยเฉพาะโครงการพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Rooftop) เร่งเดินหน้าโครงการที่มุ่งเน้นนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การทดสอบระบบ Peer-to-Peer Energy Trading และจะนำมาใช้จริงเมื่อผลการทดสอบเป็นที่น่าพอใจ
พร้อมกันนี้ ธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์ม จะมีการติดตั้งไฟเบอร์ออปติก (FTTx) ครอบคลุมพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรมที่เหลืออยู่ให้แล้วเสร็จ เพื่อเพิ่มศักยภาพการเชื่อมต่อด้านดิจิทัลภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป ยิ่งไปกว่านั้นธุรกิจดาต้าเซ็นเตอร์ จะมอบบริการที่ครบวงจรมากขึ้นให้แก่ลูกค้า พร้อมขยายโอกาสจากการใช้เทคโนโลยี 5G ภายในนิคมอุตสาหกรรมของดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป
อีกทั้งบริษัทฯ เตรียมแผนการขายทรัพย์สินของบริษัทฯ เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (กองทรัสต์ WHART) ภายในไตรมาส 4/2564 ซึ่งคาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้ตามแผนและเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นในการเป็น “Your Ultimate Solution Partner” โดยการยกระดับและสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าและบริการ ผ่านการพัฒนาโซลูชันตามแนวคิดการผสมผสานแพลตฟอร์มทางธุรกิจ (Business Platform) เข้ากับโครงสร้างพื้นฐานเดิม (Infrastructure Base) เพื่อต่อยอดทางธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงการเร่งเดินหน้าโครงการ Digital Transformation ตามแผนงานที่ได้วางไว้อย่างเต็มรูป