“วิลล่า คุณาลัย” เผย 1/64 กวาดยอดขาย 350 ล้านบาท มั่นใจยอดขายทั้งปีแตะ 1,500 ล้านบาท หลังดีมานด์ “Affordable” พุ่ง ชี้มาตรการรัฐกระตุ้นดีมานด์ การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การปรับขยายเวลาลดค่าโอนและจดจำนองอสังหาฯ และการปรับเกณฑ์ LTV ใหม่ หนุนการตัดสินใจซื้อต่อเนื่อง เล็งขยายฐานลูกค้าโซนทิศใต้ กทม.- ปริมณฑล เปิดขายปี 65
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN กล่าวว่า ยอดขายไตรมาส 1/64 เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอย่างมีนัยสำคัญ โดยปัจจัยหลักที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรกเติบโตมาจากความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable) ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้า Real Demand (ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง) ระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีชำนาญ และเน้นการขายให้แก่กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้มาโดยตลอด ดังนั้น จึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดีในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกบริษัทฯ มียอดขายแล้ว 348.62 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 254.58 ล้านบาท
สำหรับมาตรการกระตุ้นการฟื้นตัวเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น มาตรการเรารักกัน มาตรการคนละครึ่ง มาตรการเราชนะ เป็นต้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวถือเป็นการส่งผลทางจิตวิทยาต่อกลุ่มลูกค้าและผู้บริโภคทั่วไปอย่างมาก เพราะช่วยกระตุ้นบรรยากาศของภาคการจับจ่ายได้ดีขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ก็ตาม ส่วนมาตรการลงทุนของภาครัฐในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของประเทศ ส่งผลดีต่อภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งเม็ดเงินจะเข้าสู่ระบบ และส่งผลดีต่อภาคอสังหาฯ ได้บ้าง และมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งการปรับขยายระยะเวลาลดค่าโอนและจดจำนองกลุ่มบ้านและห้องชุดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต โดยกลุ่มนี้ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การปรับเกณฑ์อัตราส่วนสินเชื่อต่อราคาบ้าน (LTV) ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว เพียงแต่การปรับเกณฑ์ดังกล่าวเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้เงินในช่วงนี้ให้มากขึ้น ขณะที่อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำยังคงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการจูงใจให้คนที่อยากมีบ้านตัดสินใจซื้อเร็วขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
“ในช่วงไตรมาส 1/64 แม้จะมีมาตรการต่างๆ ของทางภาครัฐสนับสนุนในการซื้ออสังหาฯ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่ากังวลคือยอดการปฏิเสธสินเชื่อ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกบริษัทฯ มียอดปฏิเสธสินเชื่อสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับยอดปฏิเสธสินเชื่อดังกล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้มีการทำ Pre-approve (ตรวจสอบความสามารถของลูกค้า) ก่อนทำสัญญาจอง และเนื่องจากบ้านที่ขายในปัจจุบันนั้นเป็นบ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง จึงมีเวลาให้ทางลูกค้าได้ผ่อนชำระเงินดาวน์และเตรียมการวางแผนเรื่องการยื่นกู้รวมถึงคอยเป็นที่ปรึกษาดูแลข้อมูลทางด้านการเงินให้แก่ลูกค้าอย่างต่อเนื่องจนถึงระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์”
นางประวีรัตน์ กล่าวว่า จากยอดขายที่แข็งแกร่งในช่วงไตรมาส 1/64 ส่งผลให้ ณ สิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายรอโอนในมือ 360 ล้านบาท จาก 4 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการขาย ประกอบด้วย โซนนนทบุรี 3 โครงการคือ 1.โครงการคุณาลัย จอย 2.โครงการคุณาลัย พรีม 3.โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2 และโซนฉะเชิงเทรา 1 โครงการ คือ โครงการคุณาลัย จอย ออน 314 ซึ่ง Backlog ดังกล่าวจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 2-3/64 ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน ในช่วงไตรมาส 2/64 บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในช่วงปลายปี 64 คือโครงการคุณาลัย พาร์โก้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาทต่อยูนิต รวมจำนวน 96 ยูนิต ซึ่งมีแผนจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในเดือน มิ.ย.
“ส่วนแผนการลงทุนที่อยู่อาศัยแนวราบในทิศที่ 3 ล่าสุด มีความชัดเจนในการลงทุนมากขึ้น โดยจะลงทุนในทิศใต้ของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการต่างๆ เบื้องต้น คาดว่าสามารถเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 4/64 หรือไตรมาส 1/65 ซึ่งโครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการที่จะสร้างรายได้ในปี 65
ทั้งนี้ การขยายการลงทุนไปยังทิศใหม่ๆ เพื่อให้สอดรับกับ Roadmap ของบริษัทในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแนวทาง “สุขใจอยู่บ้านชานเมือง” ให้ครบ 4 ทิศรอบกรุงเทพมหานคร คือ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก ตามนโยบายและยุทธศาสตร์ที่วางไว้
“ในปี 64 บริษัทมีความพร้อมทั้งสินค้าและยังมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงบริษัทฯ มีกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นจำนวนมากที่ช่วยแนะนำบอกต่อเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญ โดยปี 64 นี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 1,410 ล้านบาท ขณะที่รายได้ตั้งเป้าอัตราการเติบโต 10-15% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 799.64 ล้านบาท”