xs
xsm
sm
md
lg

KKP ปรับเพิ่มจีดีพีโต 2.7% จับตาผลกระทบ ศก.ฟื้นช้า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร ปรับการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยขึ้นจาก 2.0% เป็น 2.7% ตามผลกระทบของการระบาดระลอกใหม่ที่น้อยกว่าที่ประเมินไว้และการฟื้นตัวของการส่งออก อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวยังถือว่าช้ามากเมื่อเทียบกับเศรษฐกิจโลกจากนักท่องเที่ยวที่คาดว่าจะกลับมาได้เพียง 1 ล้านคนในปีนี้ โดยการฉีดวัคซีนในหลายประเทศที่ทำได้เร็วจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับเข้าสู่ภาวะปกติภายในปีนี้ ประกอบกับการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ อาจนำไปสู่ความเสี่ยงเงินเฟ้อรอบใหม่ และการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั่วโลก โดยประเทศไทยจะกลายเป็น “ประเทศเศรษฐกิจฝืดในโลกเงินเฟ้อ” ที่อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นตามภาวะการเงินโลก ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนในการระดมทุนของภาคธุรกิจ ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทในปีนี้เปลี่ยนทิศทางเป็นอ่อนค่าจากดุลบัญชีเดินสะพัดที่มีโอกาสขาดดุล

ทั้งนี้ KKP Research โดยเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่า การระบาดระลอกใหม่ที่เริ่มต้นเมื่อเดือนธันวาคมจบลงเร็วกว่าคาด ส่งผลให้ผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 1 ต่ำกว่าที่ประเมิน จากก่อนหน้านี้ มีสมมติฐานว่าการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่อาจยืดเยื้อไปได้สูงสุดถึง 1 ไตรมาส อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลล่าสุดผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่น้อยกว่าที่ประเมินไว้มาก ประกอบกับสถานการณ์การระบาดที่คลี่คลายได้เร็วและมาตรการผ่อนปรนที่เห็นทิศทางชัดเจนขึ้นตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จึงมีโอกาสเห็นการบริโภคและการลงทุนกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงหลังจากนี้ไป

สำหรับภาคการท่องเที่ยว มองว่าตลอดทั้งปี 2564 นักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะกลับมาในประเทศได้ในจำนวนที่จำกัด และปรับการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวลงอีกครั้งจาก 2 ล้านคนเหลือ 1 ล้านคน จากสถานการณ์การฉีดวัคซีนของไทยในปัจจุบันที่ค่อนข้างช้าเมื่อพิจารณาการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด และปรับการคาดการณ์ GDP ขึ้นจากการเติบโตที่ 2.0% เป็น 2.7% แต่ระดับการฟื้นตัวที่ปรับดีขึ้นก็ยังถือว่าฟื้นตัวช้ามากเมื่อเทียบกับการหดตัวในปีก่อนและยังอยู่ในระดับต่ำกว่าแนวโน้มการเติบโตก่อนโควิด-19

**ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกเงินเฟ้อ **
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดในปี 2562 และในปี 2564 ก็จะเป็นหนึ่งในประเทศที่ฟื้นตัวได้ช้าที่สุดเช่นกัน เป็นภาพกลับกันกับเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะฟื้นตัวย่างแข็งแกร่ง หมายความว่าสิ่งที่ประเทศไทยกำลังเผชิญคือกลายเป็น “ประเทศเศรษฐกิจฝืด ในโลกของเงินเฟ้อ” ซึ่งกำลังจะเจอกับความเสี่ยงสำคัญจากราคาสินค้าวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น ราคาน้ำมันดิบที่ในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นไปเกินกว่าระดับ 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลแล้ว ผลต่อเนื่อง คือ ต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยกำลังจะสูงขึ้น ในขณะที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว

นอกจากนี้ เมื่อราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้นผลกระทบอีกอย่างที่เกิดต่อไทย คือ ผลต่อการเกินดุลการค้าในประเทศที่จะมีขนาดเล็กลง ในปี 2563 ที่ผ่านมา การส่งออกไทยหดตัวค่อนข้างมาก และรายได้จากการท่องเที่ยวหายไป แต่ประเทศไทยยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัดได้อยู่เพราะการนำเข้าหดตัวอย่างรุนแรง แต่มองไปข้างหน้า การส่งออกที่ยังไม่ขยายตัวได้มากนัก ในขณะที่การนำเข้าน่าจะปรับตัวเข้าสู่ภาวะปกติได้บ้างแล้ว ประกอบกับราคาน้ำมันที่กำลังปรับตัวสูงขึ้น อาจทำให้ระดับการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยลดลง จึงประเมินว่าจากปัจจัยทั้งหมดค่าเงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงในช่วง 31.5-32.0 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ 

**ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกับความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงิน**
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวของไทยปรับตัวสูงขึ้นในภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัวอยู่มาก สาเหตุเป็นเพราะตลาดการเงินไทยที่มีความเชื่อมโยงกับตลาดการเงินของสหรัฐอเมริกา ทำให้เมื่อดอกเบี้ยระยะยาวของสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นอัตราดอกเบี้ยในไทยเองมักจะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย โดยดูจากตัวเลขอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะ 10 ปีของไทยปรับตัวสูงขึ้นจากสิ้นปีที่ 1.3% กลายเป็น 2.0% แล้วในปัจจุบัน การปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังแย่สร้างผลกระทบที่ตามมา คือ (1) ต้นทุนในการระดมทุนของบริษัทที่จะเพิ่มสูงขึ้น (2) ความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ของบริษัท และการออกหุ้นกู้ใหม่ของบริษัทเอกชน (Rollover risk) อาจปรับตัวสูงขึ้น
กำลังโหลดความคิดเห็น