หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้ายังคงเป็นหุ้นที่นักลงทุนสนใจมากที่สุดในอันดับต้นๆ จากผลประกอบการเติบโตแบบก้าวกระโดด บางบริษัทเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ไม่นาน มูลค่าบริษัทหรือมาร์เกตแคปจากหลักหมื่นล้านพุ่งไปหลายแสนล้านบาท ด้านผลตอบแทนด้านราคานับจากวันที่ IPO ก็ทะยานไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งในปัจจุบันมีหุ้นโรงไฟฟ้าประมาณเกือบ 20 หลักทรัพย์ และ 10 อันดับที่มีมาร์เกตแคปสูงที่สุดในตารางประกอบด้วย
1.บมจ.กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF) มีมาร์เกตแคปอยู่ที่ 398,927.10 ล้านบาท ก่อตั้งโดยนายสารัชถ์ รัตนาวะดี CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 35.44% ตั้งบริษัทมา 10 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2560 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 95,998.50 ล้านบาท ล่าสุด 398,927.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 302,928.60 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 45.00 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ปิด 34.00 บาท เพิ่มขึ้น 277.78% และแตกพาร์เมื่อ16 เม.ย.63 พาร์เก่า 5.00 ใหม่ 1.00 บาท ผลตอบแทนด้านราคา ในปี 62 พุ่งแรงบวกไปถึง +103.68% แต่พอปี 63 บวกเล็กๆ +4.34% ส่วนในปี 64 เทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 34.25 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 34.00 บาท ลดลง 0.25 บาท หรือ -0.73% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 10.29% (ราคาเป้าหมาย 37.50 บาท)
2.บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ (EA) มาร์เกตแคป 245,247.50 ล้านบาท ก่อตั้งโดย นาย สมโภชน์ อาหุนัย CEO และผู้ถือหุ้นใหญ่สุด 23.50% ก่อตั้งบริษัทมา15 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2556 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 20,515.00 ล้านบาท ล่าสุด 245,247.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 224,732.50 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 5.50 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ปิด 65.75 บาท เพิ่มขึ้น 60.25 บาท หรือ 1,095.45% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 บวกเล็กๆ แค่ +2.94% แต่พอปี 63 ดีขึ้น +12.57% ส่วนปี 64 เทียบสิ้นปี 63 ปิดที่ 49.25 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 65.75 บาท เพิ่มขึ้น16.50 บาท หรือ +33.50% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 4.94% (ราคาเป้าหมาย 69.00 บาท)
3.บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) มาร์เกตแคป 219,233.96 ล้านบาท มีบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นใหญ่สุด 22.81% ก่อตั้งบริษัทมา 8 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2558 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 40,454.12 ล้านบาท ล่าสุด 219,233.96 ล้านบาท เท่ากับ 6 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 178,779.84 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 27.00 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 77.75 บาท เพิ่มขึ้น 50.75 บาท หรือ +187.96% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 พุ่งแรงบวกไปถึง +64.53% แต่พอปี 63 ดิ่งลง -13.99% ส่วนปี 64 เทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 73.75 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 77.75 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท หรือ +5.42% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 6.10% (ราคาเป้าหมาย 82.50 บาท)
4.บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) มาร์เกตแคป 129,041.55 ล้านบาท มี B.Grimm Power (Singapore) Pte.Ltd. ถือหุ้นใหญ่สุด 30.46% ก่อตั้งบริษัทมา 28 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2560 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 40,668.80ล้านบาท ล่าสุด 129,041.55 ล้านบาท เท่ากับ 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 88,372.75 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 16.00 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 49.50 บาท เพิ่มขึ้น 33.50 บาท หรือ +209.37% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 พุ่งแรงบวกไปถึง +98.11% แต่พอปี 63 ดิ่งลง -7.62% ส่วนปี 64 เทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 48.50 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 49.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +2.06% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 14.14% (ราคาเป้าหมาย 56.50 บาท)
5.บมจ.ผลิตไฟฟ้า (EGCO) มาร์เกตแคป 93,184.30 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยถือหุ้นใหญ่สุด 25.41% ก่อตั้งบริษัทมา 29 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2538 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 11,582 ล้านบาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 มาร์เกตแคป 93,184.30 ล้านบาท เท่ากับ 26 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 81,602.30 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 22.00 บาท และ ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 177.00 บาท เพิ่มขึ้น 155.00 บาท หรือ +704.54% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 พุ่งแรงบวกไปถึง +32.26% แต่พอปี 63 กลับดิ่งลบไปถึง -41.31% ส่วนปี 64 เทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 192.50 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 177.00 บาทลดลง 15.50 บาท หรือ -8.05% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 59.32% (ราคาเป้าหมาย 282.00 บาท)
6.บมจ.ราช กรุ๊ป (RATCH) มาร์เกตแคป 75,037.50 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยถือหุ้นใหญ่สุด 45.00% ก่อตั้งบริษัทมา 21 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2543 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 18,850 ล้านบาท ล่าสุด 75,037.50 ล้านบาท เท่ากับ 21 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 56,187.50 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 13.00 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 51.75 บาท เพิ่มขึ้น 38.75 บาท หรือ +298.08% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 พุ่งแรงบวกไปถึง +35.47% แต่พอมาในปี 63 กลับดิ่งลงลงลบไปถึง -22.91% ส่วนปี 64 เทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 53.00 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 51.75 บาท ลดลง 1.25 บาท หรือ -2.36% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 42.99% (ราคาเป้าหมาย 74.00 บาท)
7.บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) มาร์เกตแคป 62,545.94 ล้านบาท มี บมจ.บ้านปู ถือหุ้นใหญ่สุด 78.57% ก่อตั้งบริษัทมา 25 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2559 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 63,959.53 ล้านบาท ล่าสุด 62,545.94 ล้านบาท เท่ากับ 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทลดลง 1,413.59 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 21.00 บาท ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 20.50 บาท ลดลง 0.50 บาท หรือ -2.38% ผลตอบแทนด้านราคาในช่วง 2 ปีหลังไม่สดใสนัก โดยในปี 62 ลงหนักถึง -20.63% ส่วนในปี 63 ติดลบอยู่ที่ -14.69% ส่วนปี 64 สดใสเทียบราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 15.10 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 20.50 บาท เพิ่มขึ้น 5.40 บาท หรือ +35.76% เกินราคาพื้นฐานไปแล้ว (ราคาเป้าหมาย 19.50 บาท)
8.บมจ.บีซีพีจี (BCPG) มาร์เกตแคป 40,133.74 ล้านบาท มี บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น ถือหุ้นใหญ่สุด 70.04% ก่อตั้งบริษัทมา 7 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2559 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 19,900 ล้านบาท ล่าสุด 40,133.74 ล้านบาท เท่ากับ 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้น 20,233.74 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 10.00 บาท และวันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 5.20 บาท หรือ +52.00% ผลตอบแทนด้านราคาปี 62 บวกเล็กๆ +6.58% ส่วนในปี 63 ไม่ดีนัก -11.14% ส่วนปี 64 เทียบสิ้นปี 63 ปิดที่ 14.20 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท หรือ +7.04% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 11.84% (ราคาเป้าหมาย 17.00 บาท)
9.ACE (บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้) มาร์เกตแคป 38,261.76 ล้านบาท มี พล.ต.อ.วิระชัย ทรงเมตตา อดีต รอง ผบ.ตร. ถือหุ้นใหญ่สุด 22.43% ก่อตั้งบริษัทมา 9 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2562 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 44,774.40 ล้านบาท ล่าสุด 38,261.76 ล้านบาท เท่ากับ 2 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทลดลง 6,512.64 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 4.40 บาท และ ณ วันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 3.76 บาท ลดลง 0.64 บาท หรือ -14.54% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 ไม่ดีนัก -4.09% แต่พอปี 63 ลบหนักกว่าเดิม -13.74% ส่วนปี 64 เทียบจากราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 3.64 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 3.76 บาท เพิ่มขึ้น 0.12 บาท หรือ +3.30%
10.TPIPP (บมจ.ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์) มาร์เกตแคป 36,792.00 ล้านบาท มี บมจ.ทีพีไอ โพลีน ถือหุ้นใหญ่สุด 70.24% ก่อตั้งบริษัทมา 10 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2560 มาร์เกตแคป ณ IPO อยู่ที่ 58,800.00 ล้านบาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 มาร์เกตแคป 36,792.00 ล้านบาท เท่ากับ 4 ปีที่ผ่านมา มูลค่าบริษัทลดลง 22,008 ล้านบาท
ขณะที่ราคา IPO 7.00 บาท และวันที่ 19 ก.พ.64 ราคา 4.38 บาท ลดลง 2.62 บาท หรือ -37.43% ผลตอบแทนด้านราคาในปี 62 ทรุดหนัก -22.12% แต่พอปี 63 ดีขึ้นแค่ยังลบอยู่ -2.73% ส่วนปี 64 เทียบจากราคาสิ้นปี 63 ปิดที่ 4.28 บาท ล่าสุด 19 ก.พ.64 ปิดที่ 4.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ +2.34% ยังเหลือราคาอัปไซด์อีก 14.15% (ราคาเป้าหมาย 5.00 บาท)
น่าสังเกตว่าในปี 2562 กลุ่มหุ้นโรงไฟฟ้า ทำผลตอบแทบด้านราคาได้ในระดับที่สูง แต่พอปี 2563 ส่วนใหญ่จะติดลบ และในปี 2564 ผ่านมาเกือบ 2 เดือน หลายหลักทรัพย์มีแนวโน้มค่อนข้างดีเลยทีเดียว และหลังจากนี้อาจจะต้องติดตามกันต่อไปว่าจากสภาวะทางเศรษฐกิจที่ยังมีความผันผวนอยู่จะสามารถฝ่าด่านดีดขึ้นไปได้อีกหรือไม่