บล.เมย์แบงก์ฯ อวดกำไรงวดสิ้นปี 63 ที่ 484.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 90.17% จากปีก่อน ผลดีจาก รายได้ค่านายหน้า รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่ม รวมถึงกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้เพิ่ม
นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MAYBANK กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานของบริษัทฯ สำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31ธันวาคม2563 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 484.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 229.70 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 90.17% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 254.75 ล้านบาท โดยบริษัทฯ มีรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 555.26 ล้านบาท จาก 1,421.19 ล้านบาท เป็น 1,976.45 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.07%
เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 509.83 ล้านบาท จาก 1,282.93 ล้านบาท เป็น 1,792.76 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 39.74% อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 53,192.02 ล้านบาท/วัน เป็น 68,606.91 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้น 28.98% และสัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้นจาก 33.72% เป็น 43.66% อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 17,936.58 ล้านบาท/วัน เป็น 29,956.10 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้น 67.01% และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 45.43 ล้านบาท จาก 138.26 ล้านบาท เป็น 183.69 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 32.86%
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 64.97 ล้านบาท จาก 74.12 ล้านบาท เป็น 139.09 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 87.66% เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 45.45 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 21.30 ล้านบาท ในขณะที่ค่าที่ปรึกษาทางการเงินลดลงเล็กน้อย 1.78 ล้านบาท รายได้อื่นลดลง 205.34 ล้านบาท จาก 907.61 ล้านบาท เป็น 702.28 ล้านบาท หรือลดลง 22.62% เนื่องมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 138.69 ล้านบาท กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์ลดลง 15.67 ล้านบาท และรายได้อื่นลดลง 50.98 ล้านบาท
สำหรับค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น133.29 ล้านบาท จาก 2,084.44 ล้านบาท เป็น 2,217.73 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.39% เนื่องมาจากค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 214.56 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 37.30 ล้านบาท และหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญโอนกลับลดลง (ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น) 0.82 ล้านบาท ในขณะที่ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 88.37 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นลดลง 29.89 ล้านบาท
สำหรับในงวดปัจจุบัน บริษัทมีรายการโอนกลับผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ค่าใช้จ่ายลดลง) 1.13 ล้านบาท ทั้งนี้ รายการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเป็นผลมาจากการนำมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 “เครื่องมือทางการเงิน” ซึ่งเป็นมาตรฐานฉบับใหม่มาถือปฏิบัติในงวดปัจจุบัน นอกจากนั้น ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานของปีก่อนได้รวมต้นทุนบริการในอดีต 39 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ส่วนภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 51.90 ล้านบาท จาก 63.73 ล้านบาท เป็น 115.63 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 81.44% เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ ดังนั้น จึงมีผลทำให้ผลการดำเนินงานสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 เพิ่มขึ้นจากผลการดำเนินงานในปีเดียวกันของปีก่อน 90.17%