หุ้น GAME STOP...เกมพิฆาตกองทุน / สุนันท์ ศรีจันทรา

นักลงทุนทั่วทั้งโลกยังพูดกันไม่จบ เกี่ยวกับหุ้น บริษัท GAME STOP ซึ่งสร้างประวัติศาสตร์ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก เป็นหุ้นที่ร้อนแรงที่สุด ภายใน 2 สัปดาห์ ราคาพุ่งทะยานขึ้น 1,700% และยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของการลงทุน โดยนักลงทุนรายย่อยสามารถทำให้บรรดากองทุนเฮดจ์ฟันด์ย่อยยับภายในพริบตาได้

GAME STOP เป็นบริษัทค้าปลีกเครื่องเล่นเกมและเกมยักษ์ใหญ่ของโลก มีสาขากว่า 5,000 แห่งทั่วโลก แต่ธุรกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลง ผลประกอบการตกต่ำ จนต้องทยอยปิดสาขา เนื่องจากลูกค้าหันไปเล่นเกมออนไลน์

ราคาหุ้นถูกเทขายจนทรุดลงต่อเนื่อง เพราะคาดหมายว่ากิจการไปไม่รอด โดยในที่สุดอาจเจ๊ง นักลงทุนจึงทยอยขายหุ้นทิ้ง

โดยกลางปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นเหลือเพียงประมาณ 4 ดอลลาร์ มาร์เกตแคปหรือมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมเหลือเพียงประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์

แต่มีนักลงทุนขาใหญ่ซึ่งประสบความสำเร็จจากกิจการค้าอาหารสัตว์ออนไลน์ ได้ทยอยเข้ามาเก็บหุ้น GAME STOP จนถือหุ้นในสัดส่วนกว่า 10% ของทุนจดทะเบียน และทำให้ราคาหุ้นขยับขึ้นมายืนอยู่ที่ประมาณ 19 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2564

ขณะที่คณะกรรมการบริษัท GAME STOP ได้ประกาศแต่งตั้งนักลงทุนรายรายใหญ่รายนี้ร่วมเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริษัท และทำให้ราคาหุ้นดีดตัวขึ้นไปที่ 35 ดอลลาร์ ในวันที่ 19 มกราคม

เพราะนักลงทุนมองว่า นักลงทุนรายใหญ่ที่มีประสบการณ์จากธุรกิจขายสินค้าออนไลน์ จะพลิกฟื้น GAME STOP ได้

แต่บรรดากองทุนมองว่า การได้ผู้มีประสบการณ์การขายสินค้าออนไลน์เข้าร่วมเป็นกรรมการใหม่เพียงคนเดียวไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงอนาคตของ GAME STOP ได้มากนัก และราคาหุ้นที่ระดับ 35 ดอลลาร์ถือว่าสูงเกินไป

กองทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งจึงเปิดช็อตเซลล์หุ้น โดยยืมหุ้น GAME STOP จากผู้ถือหุ้นมาขายเพื่อทำกำไรหุ้นขาลง เพราะเชื่อว่าแนวโน้มราคาหุ้นจะต้องปรับตัวลง

ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีทมีเว็บไซต์ชื่อ REDDIT และมีห้องชื่อ WALLSTREET BETS ในลักษณะเดียวกับเว็บไซต์พันทิพ ซึ่งมีห้องสินธร ที่นักลงทุนรายย่อยจะแลกเปลี่ยนข่าวสาร หรือสนทนาภาษาหุ้นด้วยกัน โดยมีสมาชิกประมาณ 2 ล้านคน แต่ล่าสุดสมาชิกพุ่งขึ้นไปเป็นประมาณ 5 ล้านคน ภายในช่วง 2 สัปดาห์

นักลงทุนใน WALLSTREET BETS ได้ปลุกระดมเชิญชวนให้นักลงทุนรายย่อยช่วยกันซื้อหุ้น GAME STOP เพื่อดัดหลังเฮดจ์ฟันด์ โดยโน้มน้าวให้เห็นว่า ถ้ารายย่อยรวมพลังกันซื้อ ราคาหุ้นจะพุ่งไปไกลเกินกว่าใครจะคาดคิด

และปรากฏการณ์ “มดล้มช้าง” ก็เกิดขึ้น แรงซื้อของนักลงทุนรายย่อยผลักดันราคาหุ้น GAME STOP พุ่งทะยาน โดยส่วนหนึ่งซื้อในรูปแบบออปชัน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับเดริเวทีฟวอร์แรนต์ หรือใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) และบล็อกเทรด หรือเครื่องมือการลงทุนในหุ้นผ่านสัญญาซื้อขายล่วงหน้า

เมื่อนักลงทุนซื้อออปชันหุ้น GAME STOP โบรกเกอร์จะต้องซื้อหุ้น GAME STOP บนกระดานเพื่อรองรับการส่งมอบหุ้นให้นักลงทุนที่ซื้อออปชันไว้ในอนาคต เช่นเดียวกับโบรกเกอร์ที่ต้องซื้อหุ้นไว้ป้องกันความเสี่ยงจากนักลงทุนที่ซื้อ DW หรือซื้อบล็อกเทรดในหุ้นรายตัว

แรงซื้อหุ้น GAME STOP ไหลทะลัก ทั้งจากนักลงทุนรายย่อย ทั้งจากโบรกเกอร์ที่ต้องซื้อหุ้นเพื่อรองรับออปชัน และแรงซื้อจากกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่ทำช็อตเซลล์ไว้

เพราะเมื่อราคาหุ้นเริ่มดีดตัวขึ้น กองทุนเฮดจ์ฟันด์ต้องรีบตัดความเสียหาย โดยเข้าซื้อหุ้นเพื่อรอส่งมอบคืนหุ้นที่ยืมมาทำช็อตเซลล์ เพราะหากตัดสินใจช้า ราคาหุ้นอาจพุ่งไปไกล จนความเสียหายบานปลาย

ภายในสัปดาห์เดียว ราคาหุ้น GAME STOP กระโจนขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 35 ดอลลาร์เศษ เมื่อวันที่ 19 มกราคม ปิดล่าสุดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาในราคา 347 ดอลลาร์เศษ รวม 2 สัปดาห์พุ่งขึ้นจาก 19 ดอลลาร์มาปิดที่ 347 ดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 1,700%

รายย่อยที่ถือหุ้น GAME STOP อยู่เดิม หรือเพิ่งเข้าไปซื้อตามคำชักชวนในห้อง WALLSTREET BETS รวยกันถ้วนหน้า โดยเฉพาะขาใหญ่ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากการขายสินค้าออนไลน์ และทยอยเก็บหุ้นจนมีหุ้นอยู่ในมือกว่า 10% ของทุนจดทะเบียน กลายเป็นมหาเศรษฐี

ส่วนบรรดาเฮดจ์ฟันด์หลายแห่งเสียหายย่อยยับกว่า 5,000 ล้านดอลลาร์

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่า มีใครเกี่ยวข้องกับการปั่นหุ้น GAME STOP หรือไม่ ขณะที่สภาสหรัฐฯ กำลังหยิบยกกรณีหุ้นตัวนี้เข้าสู่การพิจารณา เพื่อหาเบื้องหน้าเบื้องหลังของราคาหุ้นที่ผันผวนและสร้างความปั่นป่วนในตลาดหุ้น

แมลงเม่าสหรัฐฯ ประกาศศักดารวมพลังแก้เผ็ดกองทุนกันแล้ว แมลงเม่าไทยถ้ารวมตัวกันได้ รวมพลังกันได้ ไม่ว่าต่างชาติ กองทุน นักลงทุนขาใหญ่ หรือแม้แต่เจ้ามือหุ้นคงหลอกกินรายย่อยไม่ได้ง่ายเหมือนกัน

เพียงแต่แมลงเม่าไทยทุกวันนี้ยัง ตัวใครตัวมัน ตัดสินใจอย่างเอกเทศ จึงถูกบรรดาขาใหญ่หลอกกินเงินอยู่

หลอกกินทั้งการ “ลาก” หุ้นขึ้นหรือ "ทุบ" หุ้นลง จน แมลงเม่าไทยยังเป็นผู้พ่ายแพ้ตลอดกาล ในตลาดหุ้น