บล.เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) แนะธีมการลงทุนช่วงภาวะตลาดผันผวนจากภาวะวิกฤตการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในงานสัมมนา The Year Ahead 2021 ซึ่งเป็นงานสัมมนาใหญ่ประจำปีของ บล.เกียรตินาคินภัทร ซึ่งจัดขึ้นเพื่อแสดงทิศทางของเศรษฐกิจและปัจจัยสำคัญที่กระทบการลงทุน สำหรับลูกค้า Wealth Management
นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) ได้ให้มุมมองในช่วง Harvesting Return in the Post-COVID World เกี่ยวกับการจัดสรรพอร์ตการลงทุน เพื่อบรรเทาความเสี่ยงจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยและเปิดโอกาสรับประโยชน์จากพัฒนาการในหลายอุตสาหกรรมที่ถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากสถานการณ์ของโควิด-19 ซึ่งกลยุทธ์การลงทุนในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับการวางกลยุทธ์ระยะยาว โดยเฉพาะในช่วงเวลาของวิกฤตโควิด-19 ซึ่งทำให้เทรนด์ระยะยาวที่มีอยู่แล้วถูกเร่งตัวขึ้นอย่างมาก โดยใน 3-4 ปีที่ผ่านมา กลยุทธ์การปรับพอร์ตระยะยาวที่ CIO Office ของ บล.เกียรตินาคินภัทร มุ่งเน้นคือ การลดน้ำหนักการลงทุนในประเทศและเพิ่มการลงทุนต่างประเทศให้เป็นสัดส่วนหลักของพอร์ต เนื่องจากโอกาสการลงทุนในต่างประเทศดีกว่า และหุ้นไทยยังมีปัจจัยลบเชิงโครงสร้างจากการเข้าสู่สังคมสูงวัยและข้อจำกัดของนโยบายการเงิน ยิ่งกว่านั้น บริษัทจดทะเบียนของไทยเป็นจำนวนมากยังได้รับผลกระทบจาก technology disruption ทำให้หุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นไทยค่อนข้างมากในหลายปีที่ผ่านมา และน่าจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
ประเมินว่ามีมุมมองระยะยาว 4 มุมมองที่จะมีนัยสำคัญต่อการลงทุน
มุมมองที่ 1 คือการเร่งตัวของการนำเทคโนโลยีมาใช้ในกิจกรรมต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน การซื้อสินค้าบริการ หรือความบันเทิงและนันทนาการ
มุมมองที่ 2 คือความเสื่อมถอยของกระแสโลกาภิวัตน์ (De-globalization) ซึ่งดำเนินมาสักระยะหนึ่งแล้ว และทำให้ภาคธุรกิจในกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้วดึงฐานการผลิตกลับประเทศ (reshoring) ซึ่งส่งผลให้มีการนำระบบอัตโนมัติ (automation) และหุ่นยนต์มาใช้ในการผลิตมากขึ้นเรื่อยๆ
มุมมองที่ 3 คือ secular stagnation หรือภาวะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจ เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่อง โดยเทรนด์นี้จะส่งผลด้านลบต่อเศรษฐกิจในภาพรวม
มุมมองที่ 4 คือ ภาวะดอกเบี้ยที่ต่ำประกอบกับการทำ QE ของธนาคารกลางประเทศหลักๆ ได้ทำให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนเป็นจำนวนมากปรับขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ทำให้นักลงทุนต้องจับตามดูความเสี่ยงที่เงินเฟ้อและดอกเบี้ยจะกลับมาปรับขึ้นแรงจนทำให้ราคาสินทรัพย์การลงทุนร่วงลงอย่างแรงคล้ายกับภาวะฟองสบู่แตก
ทั้งนี้ CIO Office ยังไม่คิดว่าความเสี่ยงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ แต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องจับตามอง โดยความเสี่ยงนี้อาจจะถูกเร่งให้เกิดเร็วขึ้นจาก 1) การที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินมาซื้อพันธบัตรของรัฐบาลตัวเองในปริมาณมากเกินไป 2) ความเสื่อมอย่างรุนแรงของดอลลาร์สหรัฐ หรือ 3) ความเหลื่อมล้ำขั้นรุนแรง
อย่างไรก็ตาม ในการที่จะหาการลงทุนที่จะได้รับประโยชน์จากมุมมองระยะยาว CIO Office ของ บล.เกียรตินาคินภัทร แนะนำการลงทุนแบบธีม (Thematic investments) โดยแยกส่วนออกมาจากพอร์ตการลงทุนหลัก และประกอบด้วย 7 ธีม ได้แก่ 1) New Consumers 2) Technology Backbone 3) Healthcare 4) Quality stocks 5) De-globalization and Race to Supremacy 6) Alternative Store of Value และ 7) Environmental ทั้งนี้ นักลงทุนสามารถลงทุนในธีมเหล่านี้ผ่าน thematic ETF ซึ่งมีข้อดีคือค่าธรรมเนียมที่ต่ำและส่วนใหญ่มีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่เป็น pure play ซึ่งจะมีธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับธีมในสัดส่วนที่น้อย
“แม้ว่าวิกฤตโควิด-19 อาจจะซ้ำเติมศักยภาพการเติบทางทางเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ในระยะสั้นเศรษฐกิจทั่วโลกจะฟื้นตัวได้ดีหลังจากการฉีดวัคซีนในวงกว้าง และการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่จากรัฐบาลและธนาคารกลางทั่วโลก ทั้งนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ได้ปรับขึ้นมารับมุมมองดังกล่าวแล้วระดับหนึ่ง และบางตลาดราคาก็ค่อนข้างตึงตัวแล้ว ดังนั้น ตลาดอาจจะย่อตัวในระยะสั้นๆ แต่ในกรอบ 6-12 เดือน ยังน่าจะเป็นขาขึ้นได้ ถ้าดูหุ้นรายกลุ่ม CIO Office แนะนำให้ปรับพอร์ตเอียงไปทางหุ้นกลุ่มที่เป็น cyclical และ value ที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ (เช่น financials, industrials, materials รวมทั้งหุ้น small cap) และมองว่าหุ้น technology และ growth ที่ปรับขึ้นแรงในปีที่แล้วน่าจะให้ผลตอบแทนที่แย่กว่าตลาด อย่างไรก็ตาม หุ้นในกลุ่ม growth และ technology เป็นจำนวนมากจะเป็นหุ้นที่เป็นส่วนหนึ่งของ thematic investment ที่ CIO Office แนะนำ ดังนั้นถ้าราคาปรับลดลงมาในระดับที่เหมาะสมก็แนะนำให้เข้าซื้อเพื่อเป็นการลงทุนระยะยาว” นายทวีศักดิ์ กล่าว