บล.เอเซีย พลัส ในกลุ่มบริษัท เอเซีย พลัส ประเมินภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 1 ปี 2564 คาดหวังความต่อเนื่องของ Fund Flow ทั้งทางตรง-ทางอ้อมขณะที่หนุนตลาดหุ้นไทย แต่ต้องติดตามโควิด-19 ระลอกใหม่ อาจเป็นอุปสรรคสำคัญ การกระจายการลงทุนไปหุ้นต่างประเทศที่ได้อานิสงส์จากโควิด-19 ยังน่าสนใจอยู่
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจปี 2564 คาดจะพลิกกลับมาฟื้นตัว 4.1%yoy จากฐานที่ต่ำและทุกปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจทยอยฟื้นตัว ส่วนกำไรบริษัทจดทะเบียนปี 2564 ประเมินไว้ที่ 7.19 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 65.04 บาท/หุ้น เติบโต 38.1%yoy
“อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ปลายงวด 4Q63 และต่อเนื่องมาถึงช่วงต้น 1Q64 สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในไทยในระลอกนี้ถือว่ารุนแรงกว่ารอบแรกปี 2563 ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการในการควบคุมโรค โดยต้องติดตามระยะเวลาว่าจะยาวนานเพียงใด ซึ่งกระทบโดยตรงต่อกิจกรรมเศรษฐกิจ และมีโอกาสทำให้เกิดการหดตัวของ GDP อีกครั้งในงวด 1Q64 ถือเป็น Downside ต่อประมาณการ GDP และกำไรบริษัทจดทะเบียนในปี 2564 ส่วนมาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เชื่อว่ารัฐบาลยังต้องมีการขับเคลื่อนต่อเนื่องและต้องเพิ่มน้ำหนักรวมถึงวงเงินให้สูงขึ้น แต่ก็มีข้อจำกัดเรื่องการก่อหนี้ซึ่งถูกกำหนดเป็นวินัยการคลังไว้ที่ 60% ของ GDP คิดเป็นมูลค่าเงินกู้ที่คงเหลือกู้ได้อีก 1.7 ล้านล้านบาท นับจากสิ้นเดือน ต.ค.2563” นายเทิดศักดิ์ กล่าว
ภาพระยะกลาง-ยาวของปี 2564 เชื่อว่าจะเป็นปีแห่ง Fund Flow เพราะยังมีแรงหนุนจาก Fund Flow ที่ไหลเข้าไทยหลายช่องทางทั้งการลงทุนทางตรง เช่น เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) แรงหนุนจากนโยบายของนาย Joe Biden ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ที่ผลักดันการขึ้นภาษีนิติบุคคล และค่าจ้างขั้นต่ำในสหรัฐฯ ส่วนการลงทุนทางอ้อม (การลงทุนผ่านสินทรัพย์ทางการเงิน) ในภาวะอัตราดอกเบี้ยทรงตัวในระดับต่ำ ช่วยให้เกิดการเคลื่อนย้ายเม็ดเงินจากพันธบัตรมาสู่ตลาดหุ้นมากขึ้นในระยะถัดไป รวมถึงค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่า หนุนให้เกิดกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น รวมถึง Liquidity ที่ล้นระบบ (เงินฝากสูงกว่า Market Cap ตลาด) และรอจ่อเข้าตลาดหุ้น ถือเป็นตัวช่วยเพิ่มน้ำหนักในตลาดหุ้นอีกแรง
ประเมินเป้าหมาย SET Index ภายใต้ Market Earning Yield Gap 3.7% ถึง 3.5% บนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ถือว่าอยู่ในระดับอนุรักษนิยมในภาวะ Fund Flow ไหลเข้า (MEYG เคยลงไปได้ลึกถึง 2.6% - 2.7%) คิดเป็น P/E ที่ 23.8 เท่า และ 25 เท่า เมื่อคูณกับ EPS64F 65.04บาท/หุ้น จะได้เป้าหมายแรกดัชนี 1,550 จุด (อิง Market Earning Yield Gap 3.7%) เป้าหมาย SET Index ถัดไปที่ 1,626 จุด (อิง MarketEarning Yield Gap 3.5%)
รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส มองว่า กลยุทธ์การลงทุนในช่วงต้นปี 2564 แนะนำหุ้นขนาดใหญ่พื้นฐานแข็งแกร่งและได้แรงหนุนจาก Fund Flow อย่าง PTT, KBANK, ADVANC, GULF และหุ้นปันผลสูง AP, DCC ในทางตรงกันข้ามหุ้นที่ขยับขึ้นมาแรงจนเกินมูลค่าทางพื้นฐาน อย่าง MAJOR, DELTA ต้องระมัดระวังในการซื้อขาย หรือเก็งกำไร
นายภาดร สุขสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส ให้มุมมองเพิ่มเติมว่าปี 63 ถือเป็นปีที่ท้าทายความสามารถของนักลงทุน ขณะที่ทิศทางการลงทุนในปี 64 เองก็อาจยังดูไม่ชัดเจนนัก แม้จะเปิดปีมาพร้อมกับความหวังเรื่องวัคซีนที่คืบหน้า แต่ตัวเลขผู้ติดเชื้อรอบสอง หรือสามในบางประเทศก็ยังคงสูงขึ้นต่อเนื่องตามไปด้วย
“จากการระบาดของโควิด-19 รอบแรก เห็นได้ว่าหุ้นต่างประเทศที่ได้อานิสงส์ อย่างหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเติบโตดีมาก การกระจายการลงทุนไปยังต่างประเทศครึ่งหนึ่งยังเป็นการจัดพอร์ตลงทุนที่เราแนะนำ และใช้กลยุทธ์ Barbell Approach สร้างผลตอบแทนจากกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งถือเป็น Long-term winner ได้แก่ หุ้นกลุ่ม Cloud และ Cybersecurity ที่โตไปตามเทรนด์ Work From Home รวมถึงเทรนด์ Digitalizationเช่น ETF ที่ลงทุนล้อไปกับบริษัทที่ประกอบธุรกิจ Cloud อย่าง First Trust Cloud Computing ETF ที่สร้างผลตอบแทนได้กว่า 49% ในช่วงปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เรายังแนะนำให้แบ่งสัดส่วนลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical เช่น กลุ่มผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์หรือชิปประมวลผล อย่าง VanEck Vectors Semiconductor ETF รวมทั้งกลุ่มท่องเที่ยวที่จะได้ประโยชน์เมื่อสถานการณ์กลับสู่ปกติ” นายภาดร กล่าว
ฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ บล.เอเซีย พลัส ยังให้น้ำหนักการลงทุนต่างประเทศส่วนใหญ่อยู่ที่อเมริกาและจีน และให้คงสภาพคล่องในพอร์ตราว 10-20% เพื่อเตรียมรับมือกับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นภายหน้า หลังราคาปรับตัวขึ้นร้อนแรง ปีนี้อาจเป็นอีกปีที่ท้าทาย แต่ภายใต้วิกฤตมักสร้างโอกาสลงทุนใหม่ๆ ให้แก่นักลงทุนได้เสมอ นายภาดร กล่าว