บล.โกลเบล็ก (GBS) ประเมินหุ้นไทยเปิดศักราชใหม่ ยังเจอแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มปะทุรอบใหม่ แนะจับตาหลังประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโจ ไบเดน เข้ารับตำแหน่งคาดมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงให้กรอบดัชนีสัปดาห์นี้ 1,450-1,500 จุด พร้อมแนะกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานดีชู 3 กลุ่มเด่นหุ้น Defensive-Laggard play -Value play
น.ส.วิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด หรือ GBS ประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยรับศักราชใหม่ 2564 ว่า ในช่วงเดือนมกราคมดัชนียังคงเคลื่อนไหวผันผวนตามปัจจัยกดดันของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในต่างประเทศ และในประเทศไทยก็มีการระบาดรอบใหม่เกิดพร้อมกันใน 54 จังหวัด ทำให้มีการแบ่งโซนพื้นที่และเข้มงวดมากขึ้น เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดแม้จะไม่มีการประกาศล็อกดาวน์ก็ตาม
ขณะที่สถานการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่อาจปะทุอีกครั้งจากนโยบายถอดหุ้นบริษัทจีนออกจากตลาดหุ้นนิวยอร์ก และทิศทางค่าเงินบาทในปี 2564 มีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่อง จากการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้น ในรอบสัปดาห์นี้คาดการณ์กรอบการแกว่งตัวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,450-1,500 จุด ส่วนดัชนีทั้งปี 64 คาดว่ามีโอกาสแกว่งตัวในกรอบ 1,470-1,650 จุด โดยเป็นการอิง PE ที่ระดับ 16-18 เท่า และมี EPS Growth 15% รวมทั้งคาดการณ์ GDP ที่ 4%
ส่วนปัจจัยที่น่าสนใจ และน่าจับตา คือ การเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโจ ไบเดน ซึ่งคาดหวังว่าจะมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา รวมทั้งการทยอยเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศ และไทยเองก็จะเริ่มผลิตวัคซีนที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี โดยมีกำลังผลิตปีละ 200 ล้านโดส โดยจะทยอยส่งมอบล็อตแรกในเดือนพฤษภาคม 2564 อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งหาวัคซีนเพิ่มซึ่งตั้งเป้าว่า 50% ของประชากรหรือ 70 ล้านโดส แบ่งเป็นผลิตในไทย 26 ล้านโดส ส่วนที่เหลือจะเป็นการนำเข้า โดยคาดว่าล็อตแรก 2 แสนโดสจะเข้ามาเดือนกุมภาพันธ์นี้ และแนวโน้มราคาน้ำมันครึ่งปีแรก 64 มีความผันผวน และมีความเสี่ยงที่จะขาลงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบใหม่และหลายประเทศยังไม่เปิด
ดังนั้น แนะนำกลยุทธ์ทยอยสะสมหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีแบ่งเป็น 3 กลุ่มเด่น โดยกลุ่มแรกหุ้น Defensive และได้ผลดีจากนโยบายไบเดน เช่น BGRIM และ GPSC กลุ่มที่ 2 หุ้น Laggard play เช่น ADVANC, INTUCH และ BBL และกลุ่มที่ 3 หุ้น Value play เช่น STANLY, IRC, TSC, JUBILE, XO, BIZ, SKN, LALIN และ HARN