นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการเงิน บมจ.วีจีไอ (VGI) เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานงวดปี 63/64 (เม.ย.63-มี.ค.64) จะสามารถทำกำไรสุทธิได้ หลังผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาสแรก (เม.ย.-มิ.ย.63) ที่มีผลขาดทุนสุทธิที่ 104 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ไตรมาส 2 (ก.ค.-ก.ย.63) สามารถพลิกกลับมามีกำไรสุทธิแล้ว 12 ล้านบาท จากการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้คนที่เริ่มกลับมาเป็นปกติ เห็นได้จากจำนวนผู้โดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอส และจำนวนผู้คนในอาคารสำนักงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการด้านการโฆษณา และการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ขณะเดียวกัน บริษัทดำเนินการลดค่าใช้จ่ายทุกภาคส่วน จึงทำให้กลับมามีกำไรสุทธิ
ส่วนในครึ่งหลังของปี (ต.ค.63 -มี.ค.64) บริษัทคาดว่าผลประกอบการจะยังเป็นบวกได้ จากการลดค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทได้ตั้งเป้าที่จะลดค่าใช้จ่ายทั้งสิ้น 100 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรก (เม.ย.-ก.ย.63) ลดค่าใช้จ่ายได้แล้ว 50 ล้านบาท ประกอบกับคาดว่าธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน ทั้งสื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน และสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและอื่นๆ น่าจะปรับตัวดีขึ้นจาก Sentiment ที่ดูดีขึ้น รวมถึงบริการ O2O Solutions หรือการลงโฆษณาที่ผสมผสานทั้งสื่อนอกบ้านและสื่อออนไลน์น่าจะยังเป็นตัวช่วยสนับสนุนรายได้ให้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับผลดีจากการที่ บมจ.เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) (KEX) จะเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เนื่องจากภายหลังเข้าจดทะเบียนดังกล่าวแล้วน่าจะส่งผลทำให้ผลประกอบการของ KEX ปรับตัวดีขึ้น และส่งผลให้ VGI ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้รับผลดีตามไปด้วย หรือสามารถรับรู้กำไรเข้ามามากขึ้น อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากการเสนอขายหุ้นให้ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของ KEX แล้ว จะส่งผลทำให้การถือหุ้นของ VGI ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 19% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 23%
"การที่เคอรี่ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเป็นผลดีต่อผลประกอบการของเคอรี่ฯ เอง และส่งผลดีกับเราด้วย เนื่องจากเราจะสามารถรับรู้กำไรได้มากขึ้น ซึ่งเราถือหุ้นอยู่ 19% และยืนยันว่าเรายังคงถือเคอรี่ฯ ต่อ โดยมีนายกวิน กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร VGI เข้าไปนั่งเป็นบอร์ดของเคอรี่ฯ รวมถึงยังคงรับรู้กำไรจากเคอรี่ฯ เหมือนเดิม" นางจิตเกษม กล่าว
นางจิตเกษม กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนทั้งกลุ่มในปี 63/64 ไว้ที่ 700 ล้านบาท แบ่งเป็น VGI 300 ล้านบาท แรบบิท 100 ล้านบาท และบมจ.มาสเตอร์ แอด (MACO) 300 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกใช้ไปแล้วรวมจำนวน 350 ล้านบาท และคาดว่าจะใช้ในครึ่งปีหลังนี้ทั้งหมดอีกจำนวน 350 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง
ส่วนในปี 64/65 (เม.ย.64-มี.ค.65) บริษัทคาดว่าจะยังคงใช้เงินลงทุนใกล้เคียงปีนี้ที่ 700-1,000 ล้านบาท โดยหลักจะรองรับการขยายจอดิจิทัลใหม่ๆ ขณะที่ทิศทางการดำเนินงานในปีหน้า เบื้องต้น บริษัทยังคงมุ่งไปในธุรกิจที่มีอยู่ โดยเฉพาะ O2O Solution และเก็บเกี่ยวการ Synergy ทั้ง KEX และ บมจ.แพลน บี มีเดีย (PLANB) รวมถึงพันธมิตรต่างๆ อีกทั้งยังมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ซึ่งบริษัทมีความสนใจในธุรกิจที่มีเทคโนโลยี ทางด้านออนไลน์ที่เข้มแข็ง ซึ่งปัจจุบันบริษัทถือว่ายังมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง เห็นได้จากหนี้สินต่อทุน (D/E) ที่อยู่ในระดับต่ำ 0.1 เท่า